“ZARA” ซึ่งเป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่ประสบความสำเร็จมาก
แบรนด์ดังๆ ของโลก มักจะเป็นแบรนด์ ดีไซน์เนอร์
ซึ่งเกิดจากการที่มีดีไซน์เนอร์คนนึง กำหนดแบบ กำหนดเทรนด์ออกไป แล้วทำเสื้อผ้าออกขาย…
แต่ซาร่าไม่ได้ทำเช่นนั้น
ซาร่าไม่ได้เป็นต้นกำเนิดในการคิดค้นรูปแบบเสื้อผ้าอะไรเลย
เขาอาศัยดูว่าตามแคทวอล์กมีเสื้อผ้ายี่ห้อไหน เดินบ้าง มีแบบใหม่ๆ อะไรน่าสนใจบ้าง…
ดึงแบบตรงนั้นออกมา แล้วก็นำออกสู่ตลาดให้เร็วที่สุด
อันนี้คือไอเดียหลักของซาร่า ที่เอารูปแบบเสื้อผ้าที่คนนิยม
…แปลงออกสู่ตลาดให้เร็วที่สุด
บ่อเกิดความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในการทำธุรกิจนั้นมีอยู่ 2 บ่อเกิด
หนึ่ง…เรียนรู้เกี่ยวกับลูกค้าให้เร็วกว่าคู่แข่ง
สอง…นำสิ่งที่เรียนรู้เกี่ยวกับลูกค้านั้นมาลงสู่ภาคปฏิบัติให้เร็วกว่าคู่แข่ง
และนี่ก็คือเคล็ดลับของ “ZARA”
“ZARA” เป็นแบรนด์ของสเปน
พูดถึงเสื้อผ้า เราคิดถึงฝรั่งเศส คิดถึงอิตาลี แต่ไม่มีใครคิดถึงสเปน
เพราะฉะนั้นการที่ ซาร่าประสบความสำเร็จได้ทั้งๆ ที่เป็นแบรนด์จากสเปน แสดงว่าต้นสังกัดของประเทศไม่มีความสำคัญอีกต่อไป
ประเทศไทยก็สามารถที่จะเป็นเมืองแฟชั่นได้ แต่ไม่ใช่ไปขึ้นรถบุปชาติ แล้วก็กระโดดโลดเต้นอยู่บนรถสิบล้อ
…อย่างนั้นเกิดไม่ได้
การที่ซาร่าจากประเทศสเปนประสบความสำเร็จมาก มันก็ได้บ่งบอกว่า แบรนด์จากประเทศไหนนั้นไม่สำคัญแล้ว
คุณจะอยู่ประเทศไหนก็ตามแต่ หากว่าคุณมีโมเดล หรือรูปแบบการทำธุรกิจที่ดี
คุณอาจจะประสบความสำเร็จได้
ซาร่า เป็นแบรนด์ของสเปน ซึ่งแต่เดิมธุรกิจของซาร่าเป็นธุรกิจที่ทำด้านสิ่งทออยู่แล้ว แต่เขาคิดค้นวิธีให้แบรนด์ซาร่ามีรูปแบบทางธุรกิจที่ต่างจากสิ่งทอที่เขาเคยทำมา
เขามองว่า จริงๆ แล้วคนอยากได้เสื้อผ้าที่มีดีไซน์ แต่ว่าใส่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง
…โจทย์ของเขาก็เลยเป็นการมองหาแรงบันดาลใจที่ได้จากเสื้อผ้าจากดีไซน์เนอร์ต่างๆ ที่เดินบทแคทวอล์ก
แล้วแปลงออกมาในรูปแบบที่ผู้คนต้องการ
ในเวลาที่รวดเร็วที่สุด..
ในราคาที่ทุกคนซื้อได้…
ลักษณะเช่นนี้อาจเรียกว่าเป็น Fast Fashion ก็ได้…
นั่นคือจากขั้นตอนแรกตั้งแต่การออกแบบ มาจนถึงวางขายในร้านนั้น ใช้เวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์
ในขณะที่อุตสาหกรรมแฟชั่นโดยปกตินั้น ต้องใช้เวลา 8 สัปดาห์ ซึ่งใช้เวลามากกว่าซาร่าถึง 4 เท่า
ถ้าจะให้เห็นกระบวนการของซาร่านั้น เราจะเริ่มเห็นได้จากทีมของเขา ซึ่งมีทีมออกแบบอยู่จำนวนมากที่สำนักงานใหญ่
จากนั้นก็มีทีมงานไปสังเกตที่งานแคทวอล์กใหญ่ๆ
เมื่อเขาได้ไอเดียมาก็จะปรึกษากับผู้จัดการสาขาของร้านค้าปลีกของซาร่า ซึ่งเขาจะรู้ว่าแบบไหนขายดี แบบไหนขายไม่ดี
และก็ตัดสินใจร่วมกันว่าจะผลิตแบบใดขึ้นมา
ต่อจากนั้นก็เริ่มผลิตต้นแบบด้วยคอมพิวเตอร์ในเวลาอันรวดเร็ว แล้วก็จะกระจายแบบออกไปตามเครือข่ายการผลิตซึ่งส่วนใหญ่ก็อยู่ในประเทศสเปน
และก็ส่งกลับเข้ามาเพื่อพะยี่ห้อลงไปเป็นรายละเอียดสุดท้าย ก่อนที่จะมีการกระจายเสื้อผ้าออกจากศูนย์การกระจายสินค้าไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ซึ่งใช้เวลาตั้งแต่ขั้นตอนแรกจวบจนกระบวนการสุดท้ายนั้นเพียง 15 วันเท่านั้นเอง
ซาร่าจะไม่ใช้วิธีการโฆษณา
งบประมาณในการทำการตลาดของซาร่านั้นส่วนใหญ่จะลงไปที่การหาทำเลของร้านค้าที่ดีที่สุดในย่านแฟชั่นของประเทศต่างๆ และก็จ่ายไปตรงนั้น
และตกแต่งร้านค้าอย่างดี เพื่อให้เกิดการตลาดแบบ “ปากต่อปาก” ขึ้นเอง
ลักษณะแบบของสินค้า “ซาร่า” นั้นจะเหมือนกับสินค้าของแบรนด์ชั้นนำระดับโลก
ซึ่งราคาสินค้าของแบรนด์ชั้นนำระดับโลกนั้น คนเดินดินคงจะหาซื้อได้ลำบาก
ซาร่าก็ไปแกะแบบพวกนั้นมาแล้วปรับเล็กน้อยเพื่อไม่ให้มีปัญหาด้านลิขสิทธิ์
คนอื่นก็จะ outsourcing ไปที่จีน
แต่ซาร่าไม่ทำ เพราะคิดว่าหากทำแบบนั้นจะมีปัญหาด้าน Logistic
มีปัญหาเรื่องของการจัดส่ง
เขาจึงกระจายแต่เพียงในสเปน ให้นักออกแบบในสเปนทำ
ในโลกของอุตสาหกรรมแฟชั่นนั้น “ความเร็ว” ในการออกตัวสินค้าเป็นปัจจัยตัวหนึ่งในการกำหนดความสำเร็จ
สินค้าแฟชั่นของแบรนด์ชั้นนำของโลกต้องใช้เวลา 2 เดือนซึ่งถือว่าช้ามาก
เพราะฉะนั้นหากเราจะไปแข่งกับแบรนด์ชั้นนำเหล่านี้เราต้อง…
…ทำให้เร็วกว่า
…ทำให้ถูกกว่า
แบรนด์ระดับโลกนั้นอาจจะใส่เดินถนนไมได้ แต่ว่าแบรนด์ ซาร่าสามารถที่จะใส่เดินถนนได้
เพราะฉะนั้นแบรนด์ “ซาร่า” ซึ่งเป็นแบรนด์อะไรก็ไม่รู้สามารถ “เกิด” ขึ้นมาได้เลย
ปล. มีบทความอีกชิ้นเกี่ยวแบรนด์ Zara เป็น PDF File load เอาได้เลยครับ ที่เป็นเส้นเขียวๆที่เขียนว่า zara brand pdf นี่แหละครับ
เอ คุณธันยวัชร์ ถ้าอย่างนี้ ระดับ รมต. ของเราอย่างเจ้ากระทรวงพานิชย์ ต่างประเทศ น่าจะเป็นนักการตลาดกันบ้างนาครับ ไม่งั้นทำอะไรแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำกันมาโดยตลอด ตอนจัดตั้งรัฐบาลชุดที่แล้วรู้สึกจะเห็นเขาก็ทาบทาม ดร.เสรี ไปร่วมเป็นที่ปรึกษาไม่ใช่หรือครับ ทำไมเขาไม่ใช้ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญให้เป็นประโยชน์กับประเทศชาติกันบ้าง
เรื่องความเร็วของแฟชั่นของเราก็ใช่ย่อยนาครับ ผมว่า สเปนก็สเปนเถอะ ดูร้านที่รับตัดสูทรแถวสุขุมวิทนี่ เขารับออเดอร์แล้วส่งต่อให้ร้านห้องแถว แทบตรอกจันทร์ที่เขาทำกัน 24 ขม. วันสองวันก็ตัดเสร็จรับของได้แล้ว นักท่องเที่ยวนิยมกันมาก ถึงมีชาร์จเพิ่มงานด่วนก็ยังถูกกว่าไปซื้อที่บ้านเขาแยะมาก
ทำแบบนี้ก็สามารถขายสินค้าได้ทั่วโลกใช่มั้ยครับ โดยอาศัยหลักการของการ ทำให้เร็วและถูก
Model นี้สามารถใช้ได้กับทุกธุรกิจหรือไม่ครับ
ผมคิดว่าตอนนี้ตลาดเสื่อผ้าบ้านเรา ก็ทำเช่นเดียวกันนะครับ คือดูแบบจากแคตวอล์กมาแปลง ให้เป็น mass มากขึ้น เพียงแต่กลุ่มเป้าหมายยังเป็นกลุ่มคนไทย ตัวอย่างเช่น ร้านเสื้อผ้าที่ แพลตตินั่ม ประตูน้ำ ก็มีดีไซน์ไม่แพ้ใครนะครับ ผมเข้าใจว่าที่ไม่ได้ทำเป็นแบรนด์ขนาดแบบ zara อาจเป็นเรื่องข้อจำกัดของทรัพยากร เช่น ภาษา เงินทุน องค์ความรู้ในการบุกตลาดเมืองนอก หรืออาจไม่ได้ฟัง 96.5 ก็ได้ครับ 🙂 ทำให้ส่วนมากวางตลาดในประเทศไทยอย่างเดียว
ซาร่า ไม่ใช่นักร้อง หรือว่า ยาแก้ปวด อ่านแล้วนี่ถ้าไทยหรือสยามทำได้ แบบนี้มันง่ายนิดเดียว ดูจากรูปลักษณ์แล้ว เราทำได้ดีกว่า ลองไปดู ตามร้าน xl ซิ
อยากได้ files ของ starbuck ช่วยกรุณา ส่งให้ด้วยนะครับ คุณ อาทิตย์
anurak_n@yahoo.com ขอบคุณ
จิวยี่ ผู้เกรียงไกรในแดนกังตั๋ง
เรื่องราวของขุนศึกหนุ่มหน้าตาดีมีชาติตระกูลคนนี้ แฟนสามก๊กหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะถูกต่อเสริมเติมแต่งให้มีสีสันมากขึ้นจากความเป็นจริงในประวัติศาสตร์
เป็นสีสันที่ไปส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของขงเบ้งโดดเด่นขึ้นตามความต้องการของหลอกว้านจงผู้แต่งสามก๊กเล่มที่คนนิยมอ่านมากที่สุด เพราะจิวยี่ในนวนิยายอิงพงศาวดารของหลอกว้านจงนั้น เป็นคู่ปรับตัวเอ้ของขงเบ้ง และแข่งบารมีทีไร จิวยี่เป็นรองทุกที จนแม้กระทั่งตอนจะตาย ยังตายด้วยความแค้นที่เสียรู้ขงเบ้งจนถึงกับแหงนหน้าดูฟ้าแล้วเอื้อนเอ่ยวาจาตัดพ้อชะตาชีวิตว่า “เทพยดาองค์ใดหนอซึ่งให้เราเกิดมาแล้ว เหตุใดจึงให้ขงเบ้งเกิดมาด้วยเล่า” ก่อนกระอักเลือดตายด้วยความแค้น
แต่ว่าฉากนี้ไม่มีปรากฏในบันทึกทางประวัติศาสตร์หรอกนะ
จิวยี่ในบันทึกประวัติศาสตร์ตายเพราะอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้กำเริบ
และชื่อเสียงความเก่งกาจปราดเปรื่องของจิวยี่นั้นก็เป็นที่กล่าวขวัญ ทั้งตัวเขาก็มีบทบาทสำคัญยิ่งในฐานะของขุนพลหนุ่มแห่งง่อก๊ก
จิวยี่มีชื่อรองว่ากงจิน เป็นคนอำเภอซู มลฑลอันฮุย
เขาเกิดปีพ.ศ. 718 ปีเดียวกันกับซุนเซ็กซึ่งเป็นเพื่อนรักที่ชอบพอกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ ในสามก๊กบอกลักษณะของจิวยี่ว่ามีรูปร่างงามสง่า มีจิตใจกว้างขวาง มีความรู้ความสามารถในทางทหาร ในขณะที่ก็เชี่ยวชาญด้านดนตรี และรักเดียวใจเดียว
จิวยี่สนิทกับซุนเซ็กมาตั้งแต่เด็ก เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน ฐานะของครอบครัวดีทำให้คุณชายน้อยของตระกูลเช่นจิวยี่สามารถเชิญอาจารย์มาสอนสรรพวิชาต่างๆ ให้ที่บ้าน ไม่ต้องดั้นด้นไปเรียนที่ไหนไกล
ตรงนี้มีเกร็ดสามก๊กเล่าเป็นนิทานชาวบ้านว่า ซุนเซ็ก ซึ่งก็เป็นคุณชายน้อยคนฉลาดเช่นกันนั้นพยายามเฟ้นหาอาจารย์ดีๆ เก่งๆ มาสอน เปลี่ยนครูคนแล้วคนเล่าก็ไม่ได้ครูที่เก่งถูกใจเสียที
เห็นจิวยี่เรียนกับอาจารย์คนเดียวไม่เคยเปลี่ยน ซุนเซ็กก็เกิดคิดจะไปเรียนด้วยเพราะอยากรู้นักว่าครูของจิวยี่นั้นเก่งขนาดไหน
แต่อาจารย์ของจิวยี่ดูออกว่าซุนเซ็กมีความยโสจะมาลองดี จึงบอกปัดว่าไม่รับศิษย์ 2 คน ซุนเซ็กจึงขอเป็นเด็กรับใช้คอยติดตามอาจารย์แทน
วันหนึ่งอาจารย์ ลูกศิษย์คือจิวยี่และเด็กรับใช้คือซุนเซ็กไปเดินเล่น ผ่านต้นไม้ต้นหนึ่งมีผลสุกน่ากิน อาจารย์จึงสั่งให้เด็กรับใช้ไปเก็บมา โดยมีข้อแม้ว่า “ห้ามปีนต้นไม้ขึ้นไปเก็บ เดี๋ยวเสื้อจะเปื้อน และห้ามใช้ไม้สอย เพราะลูกไม้ตกลงมาก็ช้ำหมดพอดี”
ซุนเซ็กคิดแล้วคิดอีกถึงวิธีเก็บลูกไม้นั้นให้ได้ตามเงื่อนไข คิดเท่าไรคิดไม่ออก จิวยี่จึงขออาสาเป็นผู้เก็บลูกไม้นั้นให้อาจารย์เอง
ว่าแล้วจิวยี่ก็แก้สายรัดเอวออกเหวี่ยงขึ้นไปพันกิ่งไม้ แล้วก็โน้มกิ่งลงมาจนเก็บลูกไม้ได้สบายๆ
ซุนเซ็กถึงกับทึ่งในสติปัญญาของเพื่อนและยอมรับในตัวอาจารย์
กาลต่อมา ทั้งสองคนคือซุนเซ็กกับจิวยี่ก็ร่วมปณิธานช่วยกันสานสร้างกังตั๋งจนเป็นที่เลื่องลือ และต่างก็ได้รับฉายาเป็นทำนองเชิดชูทั้งคู่โดยซุนเซ็กได้รับฉายาว่า “พยัคฆ์น้อยผู้ยิ่งใหญ่”
ส่วนจิวยี่ได้รับฉายาว่า “สิงห์สำอางแห่งกองทัพเรือ”
ในเรื่องสามก๊ก จิวยี่เป็นกำลังสำคัญของก๊กง่อ ทั้งเก่ง ทั้งงามสง่า มีบุคลิกเป็นที่น่าชื่นชม และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการบัญชาการรบเพื่อสร้างความรุ่งเรืองและทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์ง่อก๊กจนเรียกได้ว่าทุ่มเททั้งชีวิตให้เลยทีเดียว จึงไม่แปลกเลยที่ชาวกังตั๋งจะมองว่าเขาเป็นวีรบุรุษ
อย่างไรก็ดี แม้จิวยี่จะเป็นแม่ทัพผู้กรำศึก ต้องจับอาวุธฆ่าฟันศัตรูมากมาย แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิต จิวยี่รักและมีความสามารถในดนตรียิ่งนัก
เชี่ยวชาญถึงขนาดที่ว่า แม้กำลังเมามาย เมื่อได้ยินนักดนตรีบรรเลงเพลงผิดเพียงนิด ก็สามารถทักท้วงได้ทันที
ทั้งยังมีความเป็นศิลปิน จับท่วงทำนองของสายน้ำฉางเจียงมาแต่งเป็นเพลงฉางเหอ (ครวญสายธาร)จนเป็นที่เลื่องลืออีกด้วย
เรียกว่าเป็นวีรบุรุษที่เก่งรอบด้านจริงๆ
แล้วคุณล่ะ ต้องการเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจเช่นจิวยี่หรือไม่?
ฟังคุณธันยวัชร์กับคุณอาทิตย์พูดเรื่องการมองโลกในเชิงบวก เลยอยากแสดงความคิดเห็นด้วยคนค่ะ
คุณอาทิตย์ลึกๆแล้วคุณเป็นคนมองโลกในแง่บวกอยู่แล้วแต่อาจจะเพราะสภาวะแวดล้อม และมีบุคคลรอบข้างคอยเตือนให้มองในแง่ลบบ้าง ยอมรับเถอะคะการมองโลกในแง่ลบไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่การที่มองโลกในแง่ลบไม่เป็นนี่ซิตัวร้าย
ทุกๆคนเกิดมาพร้อมกับการมองโลกในแง่บวก แต่จะลดลงเรื่อยๆตามสภาวะแวดล้อมและประสบการณ์ จนกระทั่งในบางคนอาจจะติดลบมากๆเลยก็ได้
จริงอย่างที่พวกคุณว่า การมองโลกในแง่บวกหรือลบนั้นสามารถฝึกฝนกันได้ แต่ดิฉันอยากเสริมนิดนึงคะว่า เราจำเป็นที่จะต้องมองได้ทั้งสองมุม
มองบวก เพื่อสร้างกำลังใจ สร้างพลัง สร้างความคิดใหม่ๆ
มองลบเพื่อป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้นได้
แต่เหนือสิ่งอื่นใดหัวใจของการมองนั้นอยู่ที่ความเป็นกลาง ตรงนี้สิยากมองอย่างไรให้เป็นกลาง คือการมองอย่างไม่มีตัวตน ไม่มีตัวของเราอยู่ในสิ่งที่เกิดขึ้น ดิฉันนำความคิดนี้มาจากหนังสือ “ตัวกู ของกู” ของท่าน พุทธทาส
มีคำกล่าวนึงว่า “จะจับโจร ต้องคิได้อย่างโจร” ในสังคมเรานี้ มีทั่งคนดีและเลว คิดบวกเพื่อเข้าใจคนดี คิดลบเพื่อดักคนเลวให้ทัน ในธุรกิจก็คงเช่นกันคิดให้ได้ว่าคู่แข่งจะเล่นเรายังไงได้บ้าง (มองลบ) แล้วนำจุดนั้นมา (มองบวก) หาวิธีป้องกัน และเพิ่มศักยภาพ
สุดท้ายนี้ขอเรียนถามว่า วันเกิด เดือนเกิด ปีเกิด สามารถนำมาใช้ประกอบกับคู่มืออ่านคนได้ซักกี่%คะ ปกติแล้วดิฉันไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ศาสตร์ด้านนี้ไม่อาจลบหลู่
http://www.aishop.biz/smf/index.php?topic=25.0
การโหลดคลิปรายการวิทยุจาก MCOT
หลายท่านคงเคยฟังรายการวิทยุย้อนหลังผ่านเว็บ โดยเฉพาะรายการ Business Connection ซึ่งตอนนี้ได้ยกเลิกช่วง Re-Run ไปแล้ว แต่ไม่เป็นเราครับ เราสามารถโหลดมาบันทึกใส่แผ่น CD หรือเครื่องเล่น MP3 ไว้ฟังเองที่บ้านก็ได้ ด้วยวิธีง่าย ๆ
ลองตาม link ด้ายบนไปนะครับ
ผมกะว่าจะ Load เก็บไว้เรื่อยๆ
ถ้ามีเวลาว่างจะตัด โฆษณาออก
แล้วจะลองจัดหมวดหมู่เป็น ชุดๆอ่ะครับ
แต่ไม่รู้ว่าการวางแปลนนี้จะสำเร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่
นี่ถ้าพวก เทปผีซีดีเถื่อนรู้ว่า
มีแฟนรายการจำนวนมากที่อยากได้
ไฟล์เสียงรายการ คงรีบตัดต่อแล้วปั๊มขายแน่
เอ หรือนี่คือหนึ่งผลิตภัณฑ์ ที่อยู่ในทะเลสีคราม
อิ อิ
สมมติว่าผมจะเปิดบริษัททำน้ำอัดลม จะทำยังไงให้น้ำอัดลมผมเป็นที่ชื่นชอบและ แบรนด์ได้รับความนิยมพอจะไดส่วนแบ่งทางตลาดมั่งครับ เพราะว่าถ้าพูดถึงน้ำอัดลมคนส่วนมากก็ต้องนึกถึงโคกหรือแปบซี่ แบรนด์เกิดใหม่ของผมยากที่จะเกิดได้เลย
pg560211@hotmail.com พรีเมี่ยมลีสด้วยครับ
สงสัยต้องลองนำโมเดลของซาร่ามาปรับใช้กับธุรกิจออกแบบตกแต่งภายในของตนเองบ้างแล้วล่ะครับ
แต่ในความคิดของเรา เราคิดว่าเป็นการขโมยความคิด และไอเดียของคนอื่นอะ รู้สึกไม่ดีเลยแฮะ
… ก็ต่อยอดไงคะ มันไม่ใช่การเลียนแบบ การcopyมาทั้งหมดเลยก็น่าละอายอยู่ แต่การต่อยอดจากกรณีศึกษา สร้างความแตกต่างที่เหนือกว่ามันคือนวัตรกรรม
การนำมาปรับใช้ในองค์กร เพิ่มบางอย่าง ลดบางอย่าง ไม่น่าอายหรอดค่ะ
( และขึ้นอยู่กับเจตนาด้วย ว่าเรามีเจตนาที่จะพัตนา หรือฉวยโอกาส วันนี้ไม่รู้พรุ่งนี้ก็ต้องรู้ การกระทำส่อถึงเจตนา)
อยากให้คุณธัญวัชร์แนะนำ IDEA ที่สามารถจะนำไปใช้กับการบริหารงานด้านการออกแบบตกแต่งภายในด้วยครับ รวมไปถึงงานเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยครับ
เพื่อให้ธุรกิจของเราเติบโตอย่างมั่นคง แต่ชอบแนวคิดของ ZARA band ครับ
ปล. ขอบคุณครับ……………
สำหรับในประเทศไทย ซาร่าไม่เกิดแน่นอน เพราะมันไม่ใช่ดีไซน์สำหรับคนไทย ทำเลร้านก็อยู่ในห้างPremium คุณภาพสินค้าก็ห่วยมากๆ เมื่อเทียบกับราคาขายในไทย แถมยังประทับแหล่งผลิต สินค้าคุณภาพต่ำให้คนซื้อได้เห็นอีก อย่าไปเลียนแบบเลยครับ จบ
อยากสมักคงาน creative maketing เพราะชอบ maketing ถ้าเกี่ยวกับแฟชั่นยิ่งชอบเพราะเป็นชอบfashion
Ïðèâåò.! Ñ Íîâûì 2008 ÃÎÄÎÌ.!
Good day! This is my first visit to your blog!
We are a
group of volunteers and starting a new project in a community in the same niche.
Your blog
provided us valuable information to work on. You have done a
wonderful job!