สังเคราะห์ภูมิปัญญานายห้างเทียม(ตอน1 )

นายห้างเทียม โชควัฒนา ไม่เพียงเป็นตำนานมังกรค้าปลีก ผู้สร้างอาณาจักรค้าปลีกไทยที่ใหญ่โตโอฬาร ทว่ายังเป็นปรมาจารย์การตลาด ผู้ไม่เคยเรียนเอ็มบีเอ ทว่าเอ็มบีเอทั่วไทยต้องศึกษาจาก “คำสอนจากนายห้างเทียม”
ซึ่งนายห้างเทียมจดบันทึกประสบการณ์ไว้คนรุ่นหลังอ่าน

คำสอนจากนายห้างเทียม คลาสสิก ทันสมัย

และจากการศึกษาคำสอนของนายห้างเทียมแล้ว ตรงกับปรัชญาและกลยุทธ์ธุรกิจจากโลกตะวันตก

ผมจะวิเคราะห์และสังเคราะห์เป็นตอนๆไป

โดยเริ่มจาก

แค่หยุดอยู่กับที่ ก็กลายเป็นผู้ล้าหลัง

คนที่ประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีการศึกษาสูง คนที่การศึกษาสูง เรียนสูงๆ ปริญญาโท. ปริญญาเอก, เรียนหลังปริญญาเอก (Post Doctor) ไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จ แต่โอกาสของเขาก็จะมี…
คนที่ไม่ได้เรียนสูงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้เป็นคนที่ไม่มีสติปัญญา ความรู้

…นางห้างเทียม โชควัฒนา เป็นตัวอย่างหนึ่ง

คุณเทียม โชควัฒนา มอบคำคมไว้ให้กับสังคมมากมาย

“ปรัชญาของนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จมักจะกล่าวกันว่า นักธุรกิจนั้นต้องเป็นคนของวันพรุ่งนี้ เพราะเพียงแต่เขาเป็นคนของวันนี้ อะไรๆ มันก็สายไปเสียแล้ว”

คนของพรุ่งนี้เป็นคนอย่างไร?

คุณเทียม บอกว่า คนของพรุ่งนี้ต้องเป็นคนทันสมัย

คำว่าทันสมัยนั้นคือ ท่านจะต้องรู้จักอินเตอร์เน็ต เล่นคอมพิวเตอร์เป็น เข้าเว็บไซต์เป็น ฯลฯ

คุณเทียมเคยเล่าว่า ช่วงนั้น หนังกลางแปลงเป็นที่นิยม ลูกน้องที่ทำการตลาดบอกว่าจะทำการตลาดผ่านหนังกลางแปลง คุณเทียมพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “คิดดี ตอนนี้เริ่มกระจายแล้ว คนออกจากบ้านน้อยลง หนังกลางแปลงอาจจะไม่สำเร็จเหมือนปีก่อนๆ ที่เราเคยทำ”

คนทันสมัยไม่พอ…ต้องเป็นคนทันโลก

คนทันโลกเป็นคนอย่างไร?

…เป็นคนที่รู้จักโลกาภิวัตน์หรือไม่

…หนังสือที่โลกเขาอ่านกัน อ่านหรือไม่

…รายการทีวีระดับโลก ดูหรือไม่

…ข่าวที่โลกรับรู้กัน ทราบหรือไม่

ทันโลกต้อง “อย่าหยุดนิ่ง” มีสายตาที่มองการณ์ไกล มีวิสัยทัศน์ นั่นคือมองในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น หาทางก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ สร้างอาณาจักรที่ทำให้ผู้อยู่ข้างหลัง ยากจะตามทัน

ความหมายตรงนี้ก็คือ ท่านจะต้องวิ่งเร็วกว่าคนอื่น

ถ้าท่านเป็นกวาง การที่ท่านจะอยู่รอดได้ ท่านจะต้องเป็นกวางที่วิ่งเร็วกว่าเสือ หรือสิงโตที่วิ่งเร็วที่สุด แต่ถ้าท่านเป็นเสือ หรือเป็นสิงโต ท่านจะต้องวิ่งเร็วกว่ากวางที่ช้าที่สุด

ท่านลองคิดดูว่าประเทศไทยเป็นกวาง หรือเป็นสิงโต?

ปล.ใครอยากได้ไฟล์ “เมื่อ Blue Ocean กลายเป็น Red Ocean” ก็ดาวน์โหลดได้เลยครับ(ขออภัยที่โหลดช้าครับ วันศุกร์งานยุ่งจัด)
when-blue-turn-red.pdf

Published in: on September 27, 2007 at 1:46 am  Comments (39)  

เคล็ดความสำเร็จ 2007

ปี 2007 จะเป็นปีแห่งความยากลำบากเป็นแน่แท้

รัฐบาลและคมช.เผชิญศึกนอกและศึกในรุมกระหน่ำรอบด้าน

ความขัดแย้งภายในหมู่ผู้มีอำนาจปะทุออกมาให้เห็นอยู่เนืองๆ

ขณะเดียวกันมาตรการหลายอย่างที่ออกในรัฐบาลชุดนี้ ไม่ช่วยให้ก่อให้เกิดความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน ยังไม่ต้องพูดถึงพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ที่ทำให้ต่างด้าวที่เป็นนอมินีต้องเน้นปรับโครงสร้างการลงทุนขนานใหญ่

ในด้านการเมืองนั้น ความขัดแย้งภายในกันเอง คลื่นใต้น้ำจากอำนาจเก่า กลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์ ตลอดจนการเดินเกมในต่างประเทศของทักษิณ ทำให้ดูเหมือนบ้านเมืองไม่สงบ

ก็จะสงบได้ไงในเมื่อปีใหม่มีเหตุลอบวางระเบิดกลางเมือง 8 จุด

สถานการณ์เช่นนี้ ภาคธุรกิจเหนื่อยสุด เพราะพยากรณ์อะไรไม่ได้เลย จึงไม่แปลกที่หันไปหาหมอดูกันเยอะเหลือเกิน

สภาพเช่นนี้ ผมจึงนำเฟ้นหา “เคล็ดความสำเร็จ 2007” จากนักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ(ถอดความ) โดยตั้งคำถามว่า “ถ้าจะประสบความสำเร็จในปีนี้ ต้องทำอย่างไร”

ซิกเว่ เบรกเก้ ตอบว่า “ คน คน และคน เท่านั้น”

สรรค์ชัย เตียวประเสริฐกุล ตอบว่า “ความเรียบง่าย ความเร็ว ความยืดหยุ่น”

ตัน โออิชิ รายละเอียดอาจแตกต่างกว่าสรรค์ชัย ทว่าหัวข้อคล้ายๆกัน

อ.ไพบูลย์ สำราญภูติ ชี้ไปที่ปัจจัยทางการเมือง

ขณะที่วิเชียร เมฆตระการ บอกว่า “ร่วมแรง ร่วมใจให้บริการลูกค้าให้ดีที่สุด
ขยันมากขึ้น ใช้จ่ายอย่างประหยัด อดทน อดกลั้น ในทุกสภาวะที่บีบคั้น แล้วในที่สุด ความสำเร็จจะเป็นของเรา”

ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ คงยังเคืองไม่หายชี้ว่า “อย่าอยากได้ของที่ไม่ใช่ของของเรา”

ในด้านต่างประเทศนั้น ผู้บริหารกูเกิ้ลเน้นความเรียบง่าย

ขณะที่ริชาร์ด แบรนสัน แนะว่า “ปฏิเสธให้เป็น”

ส่วนโดนัล ทรัมพ์ ฟันธงว่า “อย่าหมกมุ่นกับปัญหา ให้หาคำตอบ”

ยูนุส เจ้าของรางวัลโนเบล คนล่าสุด บอกว่า “when you’re trying to solve a problem, always bring it back to the simplest formulation.”

เจ้าของ Starbucks บอกให้กล้าที่จะเป็น SOCIAL ENTREPRENEUR

ยังมีผู้นำและนักธุรกิจอีกมากมายที่แนะให้คำแนะนำที่พลาดไม่ได้

ถ้าไม่อยากเหนื่อยในปีนี้

Published in: on September 8, 2007 at 11:08 pm  Comments (22)  

แบรนด์ที่ชื่อ……ประเทศไทย –ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

กว่าจะทันตั้งตัว….. ก็สายเสียแล้ว

ประโยคข้างบนดังกล่าวถือเป็นความรู้สึกส่วนตัวของผมครับ ต่อสิ่งที่ผมรู้สึกต่อปรากฎการณ์หลายเรื่องที่เกิดขึ้น ณ ประเทศไทยแห่งนี้ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของประเทศไทย

แดจังกึม เป็นตัวอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่า หากประเทศไทยไม่พยายามสร้างแบรนด์ของตนให้เข้มแข็ง ในรูปแบบรวมพลังแล้ว คำว่า “ไทยแลนด์” คงผงาดในเวทีโลกยากครับ

วันนี้ คนหลายประเทศและ 1 ในนั้นคือคนไทยรู้จักประเทศเกาหลีมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารเกาหลีจากละครโทรทัศน์ “แดจังกึม” ซึ่งมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมการทำอาหารของเกาหลี อำนวยการสร้างโดยภาคเอกชนแต่เป็นการขานรับนโยบายจากภาครัฐ ถือเป็นการรวมยุทธศาสตร์ภาครัฐและเอกชนในการขยายทุนทางวัฒนธรรมในรูปแบบ “ละคร” ได้อย่างแนบเนียนและที่สำคัญได้อรรถรสในการชมแบบไม่น่ารังเกียจ

วันนี้ “อาหารเกาหลี” จึงกลายเป็นเมนูที่คนดู “แดจังกึม”อยากชิมมากที่สุด

วันนี้ “เด็กไทยรุ่นใหม่” หลายคนรู้จักที่มาของอาหารเกาหลีมากกว่าอาหารไทยจาก “แดจังกึม”

ผมไม่แน่ใจว่าผลสะท้อนที่ออกมามากกว่าเรตติ้งของผู้ชม ทางผู้ใหญ่ของบ้านเราเริ่มนำมาคิดวิเคราะห์และศึกษาเป็นแบบอย่างหรือไม่ ???

รัฐบาลประกาศนโยบาย “ครัวไทย ครัวโลก” ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงวันนี้ ผมไม่แน่ใจว่าคนทั่วโลกรู้จักอาหารไทยเพิ่มขึ้นหรือไม่ และที่สำคัญรู้จักแล้วอยากลิ้มลองรสชาติอาหารไทย มากน้อยขนาดไหน

ผมเห็นด้วยกับยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลใช้ในขณะนี้ ไม่ว่าการ สนับสนุนให้ภาคเอกชนขยายกิจการร้านอาหารไทยในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น การใช้วัตถุดิบภายในประเทศที่ได้รับการควบคุมตรวจสอบ การปรุงอาหารตามตำรับไทยแท้โดยผู้ที่มีความรู้ความชำนาญ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้คนต่างชาติอยากชิมอาหารไทย โดยตัดสินใจเป็นอาหารมื้อพิเศษนอกบ้านในวันไม่ธรรมดาครับ

ต่อให้มีร้านอาหารไทยขึ้น เป็นดอกเห็ดทุกหัวมุมถนนในเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลกเหมือนแมคโดนัล แต่คนต่างชาติไม่รู้สึกอยากลิ้มลองแล้ว คงไม่มีประโยชน์ครับ

ทุกวันนี้คนต่างชาติรู้จักแต่ต้มยำกุ้ง ผัดไทย ทั้งๆ ที่อาหารไทยมีอีกมากมาย และหากได้เห็นกรรมวิธีการทำอาหารไทยจากสาวไทย ผมเชื่อว่าคนที่รู้จักอาหารเกาหลีจาก”แดจังกึม” ต้องลืมอาหารเกาหลี ฝันถึงแต่อาหารไทยจากแม่ครัวไทยที่อ่อนช้อยครับ

ถึงเวลาแล้วครับ ที่ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกัน หากต้องการสร้างแบรนด์ไทยให้รู้จักไปทั่วโลก และไม่ได้หยุดแค่รู้จัก แต่เป็นทางเลือกอันดับแรกในการตัดสินใจ และที่สำคัญในส่วนของภาครัฐด้วยกันเองคือ กระทรวงการต่างประเทศในฐานะผู้เปิดประตูโลก และกระทรวงวัฒนธรรมต้นเรื่องในการขายทุนทางวัฒนธรรม ที่ไม่ใช่แต่เฉพาะอาหารเท่านั้น ต้องร่วมพลังในการสร้างแบรนด์ไทย

หากเปรียบเทียบแบบหมัดต่อหมัดแล้ว ถือว่าประเทศไทยมีต้นทุนทางวัฒนธรรมมากมายกว่าประเทศคู่แข่งที่จ้องขายวัฒนธรรมหลายเท่า ด้วยเพราะความมีรากเหง้าของประเทศที่สะสมมานาน เพียงแต่การร่วมมือประสานของเจ้าของต้นทุนในแต่ละเรื่อง ยังหาได้ยากในสังคมไทย

ยังไม่สายครับ ที่จะปรับกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ใหม่ต่อการสร้างภาพลักษณ์ให้รู้สึกถวิลหา มากกว่าการยัดเหยียดจนเกิดปฎิกิริยาตอบกลับในเชิงลบ เพราะคนส่วนใหญ่ยังเชื่อในทฤษฎีที่ว่า “ของดีจริงทำไมต้องโฆษณา” ทั้งๆ ที่ในโลกของความเป็นจริงแบรนด์ที่ได้รับการนิยมยังต้องมีการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อ “สร้างการตระหนักรู้” อยู่ตลอดเวลา

ผมคิดว่า “แดจังกึม” น่าเป็นทางออกที่ดีให้กับนโยบายครัวโลกของรัฐบาลครับ

ลองทุ่มเงินอีกสักก้อน สร้างหนังไทยที่บอกถึงตำนานอาหารไทยที่แม้แต่คนไทยด้วยกันเองยังไม่รู้ ถึงวันนั้นอย่าว่าแต่ชาวต่างชาติอยากชิมอาหารไทย แม้แต่เด็กโจ๋ตาดำ หัวแดง สัญชาติไทยอาจเปลี่ยนใจมาแฮงค์ตามร้านส้มตำไทยก็ได้ครับ

ผมพอจะนึกถึงพล็อตเรื่องคร่าวๆ จากกาพย์เห่เรือ เห่ชมเครื่องคาวของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยที่เคยท่องสมัยละอ่อนครับ

มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา
ยำใหญ่ใส่สารพัด วางจานจัดหลายเหลือตรา
รสดีด้วยน้ำปลา ญี่ปุ่นล้ำย้ำยวนใจ

Published in: on June 26, 2007 at 12:02 pm  Comments (13)  

โมลาซูและชาง เมนเตอร์ 3

หนังเกาหลีอีกเรื่องนึงที่ดังมากๆเมื่อสองสามเดือนก่อน ซึ่งผมอยากจะเขียนยาวๆสักตอน คือเรื่องซอดองโย สายใยรักสองแผ่นดิน

เรื่องนี้ยาวมากและสนุกมากๆ แม้จะไม่ดังเท่าแดจังกึม ทว่าดังมากๆทีเดียว

ซอดองโยเป็นประวัติชีวิตการต่อสู้ของพระเจ้ามูชาง กษัตริย์แคว้นพักเจที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง

พักเจเป็นหนึ่งในสามแคว้นของเกาหลี ก่อนหน้าการรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียว

พระเจ้ามูชางเป็นกษัตริย์ที่เกิดจากนางรำยอนกาโม ทำให้ต้องใช้ชีวิตธรรมดาอย่างระหกระเหิน กว่าจะขึ้นครองบัลลังก์ได้ก็เกือบตาย

ยอนกาโมแม่ของชางนั้นเป็นอดีตคู่หมั้นของโมลาซู ซึ่งเป็นหัวหน้าโรงฝึกช่าง ซึ่งเป็นแหล่งประดิษฐ์คิดค้นของพักเจ และเป็นฐานอำนาจสำคัญของกษัตริย์พักเจ

ยอนกาโมเอาลูกมาฝากแฟนเก่าให้ฝึกปรือ โดยตัวเองก็บอกมาไม่ได้ว่าชางคือลูกกษัตริย์

การนำลูกมาฝากโมลาซู ซึ่งรู้ว่าเป็นยอดฝีมือในด้านการประดิษฐ์คิดค้น ก็เหมือนกับโอเดสซิอุสฝากลูกไว้กับเมนเตอร์ให้เลี้ยงดูนั่นเอง

ทว่าชางไม่ได้โชคดีเหมือนลูกโอเดสซิอุส เพราะโมลาซูยังติดใจที่แฟนเก่าเลิกกับตัวเองไปท้องกับใครก็ไม่รู้ จากนั้นส่งลูกมาให้ตัวเองฝึกวิทยายุทธ์ แต่ชางก็ถูลู่ถูกังอยู่กับโมลาซูมาโดยตลอด ตามคำสั่งเสียของแม่และเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นคนมี
ความสามารถ

ความสัมพันธ์ระหว่างโมลาซูและชางพัฒนาลึกซึ้งไปเรื่อยๆ

โมลาซูถ่ายทอดทุกอย่างให้ชาง ขณะเดียวกับชางก็เหมือนจังกึมคือมีความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ สามารถต่อยอดไปไกลได้มากกว่าอาจารย์เสียอีก

ความสำคัญของโมลาซูที่มีต่อชางนั้นมากเสียจนกระทั่ง มีอยู่ตอนหนึ่งที่คิดกันว่าโมลาซูตายไปแล้ว ชางถามตัวเองว่า “จะอยู่ได้อย่างไรถ้าโลกไม่มีอาจารย์แล้ว”

โมลาซูจึงเป็นมากกว่าอาจารย์และเมนเตอร์

ลึกซึ้งไปถึงขั้นเป็นพ่อลูกกันเลย

ก็เหมือนกับจังกึมและฮันซังกุง นั่นเอง

เมนเตอร์จะเป็นหัวใจความสำเร็จในยามที่เราตกระกำลำบาก

พวกเขาจะรู้จักเราแบบทะลุปรุโปร่ง

พวกเขาหวังดีกับเราโดยไม่ต้องการผลตอบแทน

จะชี้สว่าง

ประคับประคอง

และฉุดเราให้พ้นจากหุบเหว

คุณล่ะ

ใครเป็นเมนเตอร์ของคุณ

Published in: on June 19, 2007 at 2:31 am  Comments (16)  

ใครคือเมนเตอร์ ตอนพระนเรศวร

มหาเถรคันฉ่องและพระนเรศวร

มหาเถรคันฉ่องเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่พระเจ้าบุเรงนองเคารพนับถือมาก เมื่อมีปัญหาอะไร บุเรงนองจะขอคำปรึกษาอยู่เนืองๆ

บุเรงนองนั้นรักและเอ็นดูสมเด็จพระนเรศวรมากๆ จึงมอบหน้าที่ในการกล่อมเกลาเลี้ยงดูให้มหาเถรคันฉ่องที่พระองค์ไว้วางพระทัย

มหาเถรคันฉ่องนั้น น่าจะเป็นมอญ ดังนั้นความภักดีต่อพม่านั้น คงไม่ แต่ผูกพันกับคนมากกว่า หมายความว่าหมดยุคบุเรงนองแล้ว ก็คงหมดกัน

ในภาพยนตร์นั้นมหาเถรคันฉ่องพบพระนเรศวรตอนแรก(ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) ตอนที่มากับบุญทิ้ง มหาเถรฯบอกว่าจะสอนการใช้เคียว บุญทิ้งยังบ่นว่าเคียวจะไปทำอะไรได้ มหาเถรฯก็ขว้างเคียวเฉี่ยวหน้าบุญทิ้งไป และบอกว่าถ้ารู้วิธีใช้ก็เป็นอาวุธได้

มหาเถรคันฉ่องไม่เพียงถ่ายทอดวิทยายุทธ์และพิชัยสงครามเท่านั้น หากยังสอนการปกครองคนอีกต่างหาก

ตอนที่พระนเรศวรหนีกลับไทยนั้น มหาเถรฯยังถอดจิตตามมาสอนเรื่องการครองใจคน

ภาคสองเมื่อพระนเรศวรกลับมาพม่า ช่วยตีเมืองคัง แต่มังสามเกียดปองร้าย ก็ได้มหาเถรฯเตือนภัย

และเมื่อพระราชมนูมีภัย มหาเถรฯก็บอกพระนเรศวรให้ไปช่วย

กล่าวได้ว่ามหาเถรคันฉ่องคือเมนเตอร์ของพระองค์

และมหาเถรคันฉ่องนี่แหละที่เป็นหนึ่งในหัวใจความสำเร็จ

Published in: on June 15, 2007 at 11:59 am  Comments (9)  

ใครคือ Mentor ของคุณ ตอน 1

ผมเคยบทความชิ้นหนึ่งเมื่อกว่าหนึ่งทศวรรษมาแล้ว ในนิตยสารจีเอ็มนี่แหละ

บทความชิ้นนั้นชื่อ “ Mentor แปลว่ากุนซือ”

จำได้ว่าช่วงนั้น สามก๊กที่ฉายทางช่องเก้ากำลังดังมากๆ ผมเลยแปลว่ากุนซือ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ ทว่าช่วงนั้นกำลังอินกับสามก๊ก ก็เลยแปลไปตามนั้น

จริงๆคำว่า Mentor นั้น มีที่มาจากเทพปกรณัมกรีกยุคโบราณ ในช่วงที่นครรัฐต่างๆในกรีก ต่างบ่ายหน้าไปรบกับกรุงทรอย เพราะเจ้าชายปารีสแย่งนางเฮเลนจากผู้ครองนครรัฐองค์หนึ่งของกรีกไป

สงครามระหว่งกรีกและทรอย ส่วนใหญ่ก็คงจะรู้กันแล้ว ไม่ขอเล่าซ้ำ

ในบรรดาผู้ครองนครรัฐของกรีกนั้น ผู้ที่ได้ชื่อว่าเจ้าปัญญามากที่สุดก็คือ Odysseus ผู้ครองนครรัฐ Ithaca

หลังจากที่ Odysseus ไปรบที่กรุงทรอยก็ฝากลูกที่ชื่อ Telemachus ไว้กับ Mentor ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท

Odysseus จากบ้านเมืองไปนานนับสิบปี แม้จะชนะสงคราม ถล่มกรุงทรอยเสียจนล่มสลาย ทว่าความเหี้ยมโหดของพวกกรีกและเคารพเทพเจ้า ทำให้เทวดากรีกลงโทษเจ้าผู้ครองทั้งหายเสียจนอ่วมอรทัย

หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ Odysseus นี่เอง

เขาถูกลงโทษให้ผจญภัยในท้องทะเลนานหลายปี จนชื่อโอเดสซี่ แปลว่าการผจญภัยอันยาวนาน

Mentor เพื่อนของ Odysseus ก็ฟูมฟัก Telemachus อย่างดี เรียกว่าไม่ทำให้ Odysseus ก็แล้วกัน

ต่อมา Mentor ได้กลายเป็นคำศัพท์ไปในที่สุดเช่นเดียวกับคำอื่นๆที่มาจากตำนานกรีก

American Heritage Dictionary ให้ความหมายว่า A wise and trusted counselor or teacher

ผมคิดว่าเป็นความหมายที่ดี แม้ว่าน่าจะมีคำอธิบายที่ดีกว่านี้ก็ตาม

ก่อนที่จะสรุปว่าเมนเตอร์ตามความหมายของผมคืออะไรนั้น ผมอยากบอกว่าทำไมถึงอยากเขียนเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆที่เคยเขียนไปตั้งนานหลายปีแล้วก็ตาม

สาเหตุก็เพราะสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ถือว่าย่ำแย่มาก

การขัดแย้งกันค่อนข้างรุนแรง ไม่รู้ว่าใครมีอำนาจกันแน่

รัฐบาลนี้ถือว่าเป็นรัฐบาลชั่วคราว เข้าบริหารประเทศในยามวิกฤต

ไหนจะต้องจัดการกับคดีต่างๆของอำนาจเก่า

ไหนจะต้องบริหารประเทศท่ามกลางความไม่ยอมรับของตะวันตก

ไหนจะต้องกังวลกับกลุ่มอำนาจเก่าที่ไม่ยอมอยู่เฉยๆเป็นแน่ เพราะถูกรุกอย่างหนัก

คดีกุหลาบแก้ว ทำให้ต้องหาทางสะสางเรื่องโนมินี ซึ่งส่งผลกระทบกับนักลงทุนที่อยู่ในประเทศแล้ว ขณะที่เม็ดเงินใหม่ก็ไม่ไหลเข้าประเทศ

ส่วนประเทศเพื่อนบ้านต่างแสวงหาเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศอย่างขมีขมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวียดนาม ซึ่งน่ากลัวมากๆ

การปะทะระหว่างกลุ่มพลังต่างๆจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ปฏิวัติซ้ำ ปฏิวัติซ้อนจะเกิดขึ้นไหม

ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นเรื่อยๆ

ประชาชนเก็บเงินไว้ไม่ใช้จ่าย

เอกชนขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาล ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน

ขณะที่ต่างชาติขาดความเชื่อถือประเทศไทย จนกว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

สถานการณ์เช่นนี้ เราๆท่านๆโดยเฉพาะผู้อยู่ในวงธุรกิจจะเอาตัวรอดได้อย่างไร

ผมคิดว่าผู้ที่จะประคับประคองตัวให้ผ่านวิกฤตไปได้นั้น ก็ต้องมีเมนเตอร์ที่ดีเท่านั้น

ผมขอเล่าตัวอย่างเมนเตอร์จากภาพยนตร์สามเรื่อง

สองเรื่องเป็นหนังใหญ่ อีกสองเรื่องเป็นละครทีวีของเกาหลี

ใครดูตำนานพระนเรศวรภาค 1 บ้างครับ

ตัวละครที่ผมชอบมากในภาคนี้ก็คือ พระเจ้าบุเรงนอง

ทว่าตัวละครที่ได้ยินชื่อมานาน ทว่าไม่เคยทราบว่ามีบทบาทมากขนาดนี้ คือมหาเถรคันฉ่อง

ปล.พรุ่งนี้จะเข้ามาต่อตอน 2 เด้อ

Published in: on June 13, 2007 at 1:30 am  Comments (14)