ผมไม่รู้จักเฮียประเสริฐ เอี่ยมรุ่งโรจน์ เป็นการส่วนตัวมาก่อน
จู่ๆวันหนึ่งก็ได้สัมภาษณ์เฮียทางวิทยุ ในฐานะผู้เขียนหนังสือ Zigzag เมื่อแกะดำทำธุรกิจ
หลังจากนั้นก็ได้อ่านหนังสือเล่ม
“บ๊ะ หนังสือดี” คนดีก็เยี่ยม น่าไปสัมภาษณ์ทำคอลัมน์ Voice from CEO
เมื่อนัดสัมภาษณ์ได้ ผมก็หนีบหัวหน้ากองบรรณาธิการคนใหม่ ณัฐพัทธ์ ยิ้มเจริญ ไปด้วย ส่วนอาทิตย์ ไปต่างจังหวัด แต่บ่นเสียดาย
การสัมภาษณ์เริ่มต้นเรื่อยๆ แต่ความเข้มข้นเพิ่มขึ้นตามลำดับ
เกือบยสองชั่วโมงของการสัมภาษณ์ เนื้อหาเยอะมากๆ แต่น่าเสียดายที่พื้นที่ได้แค่นี้แหละ
ใครที่อยากอ่านฉบับเต็ม อดใจรออีกนิด จะไปโพสต์ในบล็อก Thaicoon.wordpress.com
thaicoon: ประวัติความเป็นมาของคุณประเสริฐ?
ประเสริฐ: ผมจบวิศวะ จากจุฬาฯ มา แล้วก็ไปเป็นผู้จัดการโรงงานอยู่ที่บริษัท Crown Cork & Seal เขาทำฝาจีบ มีโรงงานอยู่ที่สมุทรปราการ
สุดท้ายก็คือไปทำงานในอาชีพนี้ก็ไม่ชอบ เพราะไม่ใช่ตัวเรา ในที่สุดผมก็เปลี่ยนวิชาชีพมาทำโฆษณา จำได้ว่าตอนนั้นเดินไปเจอเพื่อนคนนึงที่ถนนสีลม เขาถามว่ามาทำอะไร ผมก็บอกว่ามาเดินเล่น เขาก็บอกว่ามาทำงานโฆษณามั้ย ผมก็บอกว่าก็ไปคุยสิ
สุดท้ายผมก็ไปคุยกับคุณ แดง สุนันทา ตุลยธัญ แกก็รับผมไป
thaicoon: ทำไมเปลี่ยนฟีลงานได้ง่ายจัง
ประเสริฐ: ตอนทำงานนั้นผมจบ MBA มาที่ธรรมศาสตร์ ภาคค่ำ ผมก็เรียนไปทำงานไป สัญญกับตัวเองว่าจบมาเราก็ให้โอกาสกับตัวเองสักนิดหนึ่ง ถ้าทำวิศวะไม่ดีก็คงต้องเปลี่ยนอาชีพ โชคดีที่คุณแดงแกให้โอกาสผม ซึ่งผมก็ต้องขอบพระคุณแกมาก
ตอนที่ผมมาทำโฆษณานั้น ผมไม่มีความรู้เลยว่าอาชีพโฆษณานั้นต้องทำอะไร และผมมาเริ่มงานตอนอายุมากแล้ว ผมจำได้ว่าตอนนั้น 29 และเด็กที่มานั่งทำกับผมนั้นอายุ 21-22 ปี จบปริญญาโทก็ 24-25 ผมมาเริ่มงานโฆษณาช้ามาก
ผมไปเป็น AE ผมจำได้ว่าผมเดินขึ้นไปห้องอาร์ท พวกน้าๆ เขาบอกว่าอาร์ทเวิร์คเอาเมื่อไหร่ ผมถามว่า พี่ มันคืออะไร ไม่มีความรู้เลย ไปดูหนังโฆษณาก็ไปกับรุ่นพี่ รุ่นพี่บอกว่าประเสริฐไปดู Double Head หน่อย ผมก็งง ว่ามันคืออะไร สรุปก็คือไม่มีความรู้ด้านนี้เลย
สุดท้ายผมก็ทำอาชีพโฆษณามาได้ยี่สิบปี เปลี่ยนไปทำการตลาดอยู่ช่วงหนึ่ง ไปอยู่ที่โอสถสภา ไปบริหานมไทยเดนมาร์ก ทำกับคุณกนก อภิรดี ทำอยู่ได้สักช่วงหนึ่งทาง JWT ก็เชิญผมไปร่วมงานด้วย ตอนนั้นก็เป็นบริษัทใหม่ มีคนอยู่ทั้งบริษัทก็ไม่เกิน 30 คน เป็นบริษัทน้องใหม่ ก็มีความรู้สึกว่าอยากกลับมาทำโฆษณาใหม่อีกทีหนึ่ง ก็ช่วยพี่จุ๊สร้าง JWT จากเอเยนซี่ 300 ล้าน เป็น 3500 ล้าน
สุดท้ายก็เรียนตรงๆ ว่าเบื่อฝรั่ง จะทำอะไรก็ต้องเขียนไปถามตลอด ผมก็คิดว่าถ้าต้องเขียนไปถามตลอด พี่ก็มาทำเองสิ พี่ก็มาทำเองสิ
New Business Model
thaicoon: …แล้ว
ประเสริฐ: เพราะฉะนั้นผมบอกตัวเองว่า “ผมออกมาทำเองดีกว่า” ก็ออกมาทำธุรกิจ มีเดีย เอเจนซี่
บริษัทเมืองไทยที่ทำโฆษณาในสมัยก่อนก็คือ เป็นโมเดลบริษัทโฆษณาครบวงจร แต่ผมไม่ทำ ผมทำในเรื่องของ มีเดีย เซอร์วิสอย่างเดียว
Service Theory ของโฆษณานั้นประกอบไปด้วยสามองค์ประกอบใหญ่ก็คือ Account Planning , Creative และ Media
Account Planning ก็คือ การวางยุทธศาสตร์ของตัว Communication
ผมทำเรื่องที่หนึ่งกับเรื่องที่สาม (Account Planning & Media) ผมไม่ทำเรื่องที่สอง (Creative)
คำถามคือ…ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
วิเคราะห์ง่ายๆ ก็คือว่า Media Service เป็น Weak Spot ของบริษัทโฆษณาครบวงจรสมัยก่อน ไม่มีใครสนใจเรื่องมีเดีย ทุกคนสนใจเรื่องสร้างหนัง ทำให้ได้รางวัล ชนะการประกวด แล้วคุณจะได้ธุรกิจมากขึ้น ทุกคนเน้นเรื่องครีเอทีฟ
ผมก็มาดูเรื่องของมีเดียว่า วิเคราะห์แบบง่ายที่สุด ลูกค้ามีเงิน 100 บาท 80 บาทมาอยู่ที่มีเดียว ผมก็ถามตัวเองว่า หลักการ 80/20 ซึ่งทุกคนรู้จัก แต่การทำแบบเมื่อก่อนนั้นเท่ากับว่าพวกคุณใช้เวลา 80% กับความสำคัญ 20% ผมว่ามันผิดปกติ เพราะฉะนั้นผมเลยมาทำเรื่องมีเดีย
ตอนออกมาทำมีเดียครั้งแรก ปี 1996 ตอนนั้นผมเดินไปหาลูกค้าทุกราย จำได้เลยว่าลูกค้ามองหน้าผมเขาก็บอกว่า ดีใจนะที่เราออกมาทำธุรกิจ แต่นึกไม่ออกเลยว่าจะใช้บริการเราได้อย่างไร เพราะบริษัทโฆษณาของเขาก็มีฝ่ายซื้อสื่ออยู่แล้ว แล้วจะมาซื้อสื่อของเราได้อย่างไร?
ผมพูดเรื่องนี้อยู่สิบปี แล้ววันแรกผมจำได้เลยว่า วันที่ผมออกข่าวไปนั้น อุตสาหกรรมโฆษณาบอกว่าบริษัทเรานั้นเจ๊งแน่ เพราะไม่มีใครเข้าใจว่าผมทำอะไร แต่วันนี้มีบริษัทมีเดีย เอเจนซี่ของฝรั่ง อีกสิบบริษัทที่ทำตามเรา
thaicoon: จุดแข็งของเราคืออะไรครับ ตอนที่เราตั้งมา เรารอดมาได้อย่างไร?
ประเสริฐ: มีเดีย เอเจนซี่นั้น จริงๆ แล้วไม่ใช่ซื้อขายสื่อ ผมเปรียบเทียบแล้วกันว่า เวลาที่พวกเราเดินไปหาหมอ เราเคยบอกหมอมั้ยครับว่า หมอ…ผมปวดหัวขอพาราเม็ดหนึ่ง เราไม่เคยบอก
แต่เวลาเราปวดหัวนั้น เราจะไปพูดคุยกับหมอ แล้วหมอก็เริ่มจะ diagnose อาการของเรา ว่าเราปวดหัว หรือเราเวียนหัว วิเคราะห์เสร็จก็ค่อยจ่ายยา สิ่งที่เราต่างจากมีเดีย เอเจนซี่ทั้งหมด 11 รายในกรุงเทพฯ คือเรามีความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาเรื่องแบรนด์
เราไม่เคยบอกลูกค้าว่าต้องซื้อช่อง 3 ช่อง 7 สปอร์ตโน้น สปอร์ตนี้ แต่ต้องมาวิเคราะห์ก่อนว่า “สุขภาพ” ของ “แบรนด์” ของคุณไม่สบายนั้นเป็นโรคอะไร ทำไมถึงค้าขายไม่ดี
วิเคราะห์เสร็จแล้วค่อยไปดึงตัวยาที่เป็นมีเดียโปรดักท์มาแก้ปัญหาให้เขา มีเดียเอเจนซี่ที่สามารถทำอย่างนี้ได้ต้องมีกลุ่มคนสองประเภท ประเภทที่หนึ่งคือ เป็นพวก “นักยุทธศาสตร์เรื่องแบรนด์” (Brand Strategist)
จริงๆ ผมไม่ใช่มีเดีย โดยอาชีพของผมเป็น Strategist เข้าใจเรื่องแบรนด์ เคยรันการตลาดมา
คนอีกกลุ่มหนึ่งก็คือพวกมีเดีย เอาคนสองคนมาก็จะได้โมเดลอันนี้ มีเดียเอเจนซี่ในประเทศไทยที่เหลืออีกสิบราย จะมีคนอยู่แค่กลุ่มเดียว คือคนมีเดียว คำถามก็คือ ถ้าคุณมีคนมีเดียอย่างเดียว เวลาเราไปหาหมอ เวลาที่เราไม่เจอหมอ และให้เภสัชกรจ่ายยา ลองนึกภาพว่า “ปัญหา” คืออะไร
อันนั้คือจุดแข็งของเรา
และเมื่อเป็นจุดแข็งของเรา พอเราทำอย่างนี้ได้ ก็ต้องบอกว่า “ต้องอดทน” เพราะใหม่ๆ นั้น ผมไปเล่าเรื่องให้คนฟัง คนไม่เข้าใจ คนก็บอกว่าใช้เจ้าเก่าก็ได้
แต่วิธีของผมนั้นง่ายนิดเดียว ผมขอแค่โอกาส โครงการคุณเงินหมื่นนึง แสนนึง หรือล้านนึง ผมทำหมด ทำเพื่อ Demonstrate ให้เห็นว่า เรานั้นทำดีกว่าเจ้าเก่า แล้วที่เหลือคุณก็นึกเองว่า คุณอยากทำอะไร
I’m a Brand Strategist
thaicoon: Brand Strategist คืออะไร?
ประเสริฐ: ผมเชื่อว่าแบรนด์ที่ดีต้องเกิดขึ้นโดยการวางแผน คนที่วางแผนได้ดีที่สุดคือ “นักยุทธศาสตร์” ผมเปรียบเทียบในเชิงของการทำสงคราม เวลาเราทำสงคราม ไม่ใช่ว่าสั่งทหารไปสู้รบตบมือ ไปตะลุมบอนกันในสนามรบ มันต้องมีพิมพ์เขียวในการรบ ว่าจะรบชนะให้ได้นั้นทำอย่างไร รู้ว่าข้อได้เปรียบ (Strength) ของเรานั้นอยู่ที่ไหน และรู้ว่า Weak spot ของเราทำอย่างไร
Brand Strategist ก็คือ คนเขียนพิมพ์เขียว เขียนพิมพ์เขียวเพื่อจะทำให้แบรนด์มีโร้ดแมพ ว่าจากจุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดปลายของแบรนด์ได้จะต้องมีกิจกรรม มียุทธศาสตร์อะไรบ้าง
thaicoon: คำจำกัดความของ Strategist ในความหมายของคุณประเสริฐคืออะไร?
ประเสริฐ: คนที่เป็นนักคิด รู้ว่าคิดอย่างไร
thaicoon: คิดอย่างไร วิธีคิดมีเป็นพันแบบ
ประเสริฐ: ถ้าเป็นวิธีผมก็เป็นวิธีผม ถ้าเป็นของท่านอื่นก็เป็นวิธีของท่านอื่น
thaicoon: Strategic Thinking คิดอย่างไร?
ประเสริฐ: Strategic Thinking ของผมวิธีคิดง่ายนิดเดียว คือต้องเอาสมองสองข้างมารวมกัน ธรรมชาติให้สมองคนเรามาสองข้าง เอาตรรกะรวมกับความคิดสร้างสรรค์ ถ้าเราเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ผมว่ามันไม่รอด
เคยมีคนบอกว่าคนที่เป็น “นักกลยุทธ์” ที่ดีที่สุดต้องเอา Creativity เป็นตัวนำ และเอาตรรกะเป็นตัวเสริม
เพราะว่าถ้าเราใช้ “ตรรกะ” เป็นตัวนำ ตรรกะ จะทำให้โอกาสที่เราจะสร้างแบรนด์ให้มีความน่าสนใจนั้นมันน้อย
สมองสองข้างทำงานร่วมกัน และก็แบรนด์ก็ต้องเกิดขึ้นบนพื้นฐานของข้อมูล และความรู้สึก สองเรื่องนี้ค้านกัน วิธีคิดของผมก็คือ ต้องเอาของที่มันค้างกันให้มันมาอยู่ร่วมกันได้ แบรนด์เหล่านั้นก็จะมีความเจริญเติบโต
thaicoon: แบรนด์ในความหมายของคุณประเสรืฐคืออะไรครับ?
ประเสริฐ: ผมเองก็ทำงานบริษัทฝรั่งมาเยอะ ผมเคยเห็นแบรนด์ที่เขียนมาหนามาก เขียน Brand Positioning Statement เขียนมา 7 บรรทัด
ผมถามตัวเองทุกที ผมก็ถามกับลูกน้องว่า 7 บรรทัดที่เป็นภาษาฝรั่งมานั้น แม่บ้านที่หนองคายเขาจะเข้าใจหรือไม่ ผมบอกได้เลยว่าเป็นไปไม่ได้
ประเด็นของผมก็คือว่า แบรด์ชอบเขียนในบริบทของนักการตลาด แต่ไม่เคยเขียนในบริบทของผู้บริโภค เป็นไปไม่ได้ที่ผู้บริโภคจะจำเจ็ดบรรทัดนั้นได้ ผมเองยังจำปีที่กรุงศรีอยุธยาแตกไม่ได้เลย
ผมเชื่อว่าแบรนด์ที่ดีคือ “ไอเดียทางธุรกิจที่มีชีวิต และมีความนิรันดร์กาล” เวลาผมพูดคำนี้ทุกคนก็จะมาถามว่ามันคืออะไร
thaicoon: Business Concept…
ประเสริฐ: มันคือ Business Idea ที่มี Longevity ในตัวของมันเอง ผมยกตัวอย่าง ผมเคยไปคุยกับคุณภาณุ (อิงควัต) แกออกมาทำธุรกิจ Greyhound แกบอกผมเลยว่า “คุณประเสริฐ คุณว่าเกรย์ฮาวนด์นั้น แบรนด์ไอเดียคืออะไร?”
ผมบอกว่า “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมก็ชอบไปทานร้านคุณ” แกบอกว่า แบรนด์ไอเดียของเกรย์เฮานด์ เป็นคำแค่ 3 คำเท่านั้นเอง Basic with a Trist เป็นอาหารที่พื้นฐาน แต่ไปดัดแปลง หรือปรุงแต่งมันทำให้มันมีเสน่ห์ นี่คือตัวตนของเกรย์เฮานด์ ผมบอกว่า เออ ใช่ ผมเข้าใจทันที
ประเด็นก็คือว่า ถ้าสมมติว่าเราจะเขียนแบรนด์ไอเดียขึ้นมาได้ต้องเขียนแบรนด์ไอเดียที่เข้าใจผู้บริโภค และเราสามารถส่งมอบได้ และต้องไม่ใช่คำพูดยาวๆ ที่เขียนมาแล้วคนงง ไม่เข้าใจ และแบรนด์ที่ดี ผมว่ามันต้องเหมือนกับคน อย่างผมคิดว่าพวกเราก็คือแบรนด์เหมือนกัน อย่างผมชื่อประเสริฐ ตัวตนผมเป็นอย่างไร เราต้องสามารถมีตัวตนของเราที่ชัดเจน
ผมเชื่อว่าสมัยนนี้แบรนด์ประเภทที่ไม่ค่อยชัดเจนจะเกิดไม่ค่อยได้ อยู่ไม่ค่อยได้ เพราะผู้บริโภคเขาจะบอกเลยว่ารักหรือไม่รัก
ซึ่งมันเกิดจากตัวตนของเรา มันจะเป็นอะไรก็คงต้องคล้ายๆ เรา ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์อย่างเวอร์จิ้น คนอย่างริชาร์ด แบรนสัน ผมว่าคนเหล่านี้เป็นบุคคลตัวอย่างที่บอกตัวเองว่า กรอบในการทำธุรกิจจริงๆ นั้นไม่มีกรอบ ถ้าใครก็แล้วแต่ที่ทำธุรกิจแล้วมีกรอบ ผมว่าคุณก็เสียเปรียบคนอื่นแล้ว
คนพวกนี้เป็น Catalyst for Change คือเป็นตัวเร่ง เป็นสารเคมีที่เติมเข้าไปเพื่อที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการทำธุรกิจ
Virgin Atlantic ณ จุดหนึ่งทำให้ British Airways (BA)หนาว เพราะว่าบริติช แอร์เวย์ ติดกับการผูกพันว่าทุกคนต้องใช้ BA การที่มี Catalyst for Change จะดีสำหรับธุรกิจตรงที่จะทำให้ยักษ์ใหญ่หยุดนิ่งไม่ได้ ยักษ์ใหญ่ก็จะต้องพัฒนาคุณภาพของตัวเอง ผลก็คือเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศนั้นๆ ก็จะดี
ลองนั่งนึกดูว่าถ้าโลกไม่มี Apple ก็คงเหนื่อย ถ้าโลกไม่มีคนอย่างริชาร์ด แบรนสัน ผมว่าอังกฤษก็คงเหนื่อยเหมือนกัน
ส่วนตัวของผม ผมเชื่อว่าประเทศไทยต้องการคนประเภทนี้ (Catalyst for Change) ไม่เช่นนั้นเราก็จะมีแต่บริษัทใหญ่ๆ
เมื่อ แกะดำ ทำธุรกิจ
thaicoon: นึกอย่างไรถึงเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา?
ประเสริฐ: ผมทำธุรกิจสิบปีบนพื้นฐานของความเชื่อส่วนตัว ว่าการทำอะไรที่แตกต่าง แบบมีเหตุมีผลทุกคนก็จะมีโอกาสทางธุรกิจทั้งนั้น ก็ผ่านกระบวนการที่พิสูจน์ตัวมันเองว่าเราคิดถูกแล้ว พอจะมีเวทีให้เรายืน ก็เลยอยากจะแบ่งปันประสบการณ์อันนี้ให้กับผู้คนข้างนอก
ผมมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าทำอะไรเหมือนกับคนอื่น แค่คิด…วันแรกคุณก็เจ๊งแล้ว เวลาที่ผมพูดเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าผู้คนไม่เห็นด้วยกับผม เพราะผู้คนของบ้านเมืองนี้ชอบทำอะไรตามๆ กัน
คำว่า “เขาว่ากันว่า” เป็นคำพูดที่ผมอยากจะให้คนมองเห็นอีกด้านหนึ่งของความคิด แล้วอยากจะบอกทุกคนว่าถ้าคุณกระโดดข้ามมาอยู่อีกฝั่งหนึ่ง และคุณมีความเชื่อมั่นมาก โอกาสจะเป็นของคุณแน่ โอกาสจะมากน้อยจะขึ้นอยู่กับความอดทนของคุณ ขึ้นอยู่กับความคิดของคุณ
สำคัญที่สุก็คือพอเราสามารถที่จะขายไอเดียนี้ได้ ผมเชื่อว่าบ้านเมืองเราน่าจะดีขึ้น บ้านเมืองเราทุกวันนี้ที่มันลำบาก เพราะทุกคนเชื่อว่าเขาพูดว่าอย่างนี้ ก็เลยเชื่อเลย ไม่ได้คิดด้วยมันสมองของตัวเองว่าที่เขาพูดอย่างนั้นนั้นจริงหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็น “ลูกพี่ของผมว่าอย่างนี้”, “กฎของบริษัทว่าอย่างนี้” , “เขาพูดต่อๆ กันมาว่าอย่างนี้”
thaicoon: ถ้าสิ่งที่ทุกคนเชื่อนั้นผิด จะเกิดอะไรขึ้น?
ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง
thaicoon: คุณประเสริฐรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่คนพูด สิ่งที่เขาเชื่อนั้น ผิดหรือถูก มีวิธีการวิเคราะห์อย่างไร?
ประเสริฐ: วิธีคิดง่ายที่สุดก็คือ เราจะต้องเป็นคนช่างสังเกต และมีจารีตประเพณี (Convention) ที่ทำกันมาติดต่อกันมาหลายสิบปี เราต้องตั้งคำถามกับจารีตประเพณีอันนั้น ว่าจารีตประเพณีนั้นถูกต้องหรือไม่
วิธีการที่เราจะตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านั้น เราก็จะต้องใช้สามัญสำนึก ตัวผมคือ Contrarian Strategist เราต้องร่ำรวยสามัญสำนึก (Common Sense) ซึ่งทุกคนมีอยู่เหมือนๆ กัน
Lateral Thinking
thaicoon: How to ask the RIGHT question?
ประเสริฐ: ต้องเห็นมาเยอะ คำว่าเห็นมาเยอะเกิดจากการอ่าน เกิดจากการไปในสถานที่ต่างๆ ผมเชื่อว่าเราไม่ได้อยู่ในประเทศไทยอย่างเดียว เวลาผมเดินทางทุกครั้งผมเชื่อว่าผมเดินทางโดยมีความเพลิดเพลินกับเรื่องสองเรื่อง คือ หนึ่ง ผมไปเที่ยว กับ สอง ผมไปเปิดหูเปิดตาว่าโลกมันมีวิวัฒนาการอย่างไร
ทีนี้พอเราเห็นอะไรมาเยอะ ผมเชื่อว่าสมองคนก็เหมือนกับคอมพิวเตอร์ ก็จะบรรจุข้อมูลเข้าไป แล้วเราก็จะหยิบใช้ข้อมูลในลิ้นชักต่างๆ ได้ อันนั้นคือข้อที่หนึ่ง
ข้อที่สองต้องเป็นคนช่างสังเกต และตั้งคำถามเหมือนเด็ก ลูกผมยังเด็กเขาก็ถามโดยไม่มีกรอบว่าทำไมสัญญาณไฟจราจรถึงต้องหยุด ทำไมไม่เป็นไฟสีอื่น
เมื่อเรามีฐานข้อมูลเยอะ และเราถามแบบเด็ก มันก็จะได้อีกเรื่องหนึ่งว่า พอถามมาแล้วเราต้องหาคำตอบ และรู้ว่าคำตอบเป็นอย่างนี้
เหมือนอย่างที่ผมตั้งคำถามว่าทำไมอู่ซ่อมรถถึงปิดวันอาทิตย์ เขาบอกว่าต้องปิดวันอาทิตย์เพื่อจะให้พนักงานหยุด ผมก็ต้องถามตัวเองต่อว่าทำไมต้องหยุดวันอาทิตย์ เพราะว่าวันอาทิตย์คือวันที่เจ้าของรถมีโอกาสได้ไปที่อู่ ถ้าไม่หยุดวันอาทิตย์ก็จะเป็นโอกาสของคุณในการทำธุรกิจ
ต้องคิดแบบที่ไม่ใช่หัวสี่เหลี่ยม (Lateral Thinking) พวกที่เป็นแบบ Linear Thinker คือ หนึ่งบวกหนึ่งอย่างไรก็ต้องเป็นสอง สามคูนสองอย่างไรก็ต้องเป็นหก ของพวกนี้ก็จะทำให้เราได้วิธีคิดแบบใหม่ๆ