ขาลงสรยุทธ
“ไม่มีปัญหาอะไร ก็ว่าไปตามกระบวนการเท่านั้นเอง ผมตัดสินใจเองที่จะเดินไปลาผู้ใหญ่เพราะสังคมไทยไปลามาไหว้และก็ไม่มีอะไรในทางส่วนตัวกันเลย เป็นการจากกันด้วยดีแล้วก็ไปอำลาไปขอบคุณ แล้วผมก็ยังรักอสมท. วันหนึ่งเมื่อมีโอกาสแต่วันนี้อยากจะหยุดพักผู้ใหญ่ก็เข้าใจ”
สรยุทธ สุทัศนะจินดา ให้สัมภาษณ์ช่วงปลายปี 49 ภายหลังตัดสินใจไม่ขอจัดรายการถึงลูกถึงคน และคุยคุ้ยข่าวต่อที่สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ช่อง 9
หลังการรัฐประหารในเดือน ก.ย.49 และอสมท.ได้มีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารและบอร์ด มีการพูดคุยกันอย่างกว้างขวางว่ารายการของสรยุทธ์น่าจะถูกปรับ
อย่างน้อยที่สุดคือลดเวลาการออกอากาศลงมา
มากที่สุดคือถูกปรับผังออกไปเลย
เขาตัดสินใจเลิกจัด แล้วไปเพิ่มการจัดรายการ “เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์” ที่ทางช่อง 3 ท่ามกลางกระแสข่าวว่าช่อง 3 พยายามดึงตัว
“คือผมอยู่ช่อง 3 อยู่แล้วนะ ไม่ได้เป็นการดึงเลยนะ เรื่องเล่าเช้านี้จริงๆ ผมทำก่อนถึงลูกถึงคนที่ช่อง 9 ด้วยซ้ำ ทำก่อน 1 วันแล้วที่ออกมาจากที่ทำงานเก่าเมื่อคราวนู้นเมื่อเกือบ 4 ปีก่อนก็ออกมาช่อง 3 นะ เพียงแต่ว่าออกมาช่อง 3 ปุ๊บสักพักก็อยากจะหาเวทีที่มันเป็นทอล์กหนักๆ ก็เลยไปช่อง 9″
ส่วน กนก รัตวงศ์สกุล คู่หูคุยข่าวของเขา ก็แยกไปตามเส้นทางของตัวเอง และดูท่าจะงานชุกชุมขึ้นจากฐานชื่อเสียงที่ตัวเองมีอยู่ และการได้เวลาจัดรายการโทรทัศน์ทางฟรีทีวีที่มากขึ้นของเนชั่น
มาทบทวนเส้นทางอาชีพของสรยุทธ์กันดูซะหน่อยดีกว่า
สรยุทธ สุทัศนะจินดา นั้นจบการศึกษา นิเทศศาสตรบัณฑิต (วารสารศาสตร์) มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (เกียรตินิยมอันดับที่หนึ่ง) เริ่มทำงานเป็นนักข่าว สังกัดหนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น ในปี 2531 เงินเดือนขณะนั้น คือ 4,000 บาท โดยทำข่าวสายรัฐสภาเป็นเวลาสองปี และทำข่าวสายทำเนียบรัฐบาล อีกสองปี ต่อมาในปี 2535 ได้ประจำในกองบรรณาธิการ ในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าข่าวการเมือง และในปี 2537 ได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นหัวหน้าข่าวการเมือง ในปี 2540 ได้มาเป็นบรรณาธิการข่าว
จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการได้วิเคราะห์ข่าวในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ที่ช่องไอทีวี (ซึ่งขณะนั้นกลุ่มเนชั่นรับผิดชอบการผลิตข่าว) ตรงนั้นทำให้ผู้เรือนล้านได้รู้จักเขาเป็นครั้งแรก พร้อมทั้งสามารถซึมซับบุคลิกภาพและลีลาการจัดอันเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากคนข่าวหน้าจอโทรทัศน์คนอื่น ๆ ได้
เมื่อเนชั่นตั้งสถานีข่าว 24 ชม.ของตัวเอง (ช่วงแรกออกอากาศผ่านทางยูบีซี) สรยุทธ์ก็ได้จัดรายการ 2 รายสำคัญ ซึ่งเป็นรากฐานของรายการสำคัญอย่างคุยคุ้ยข่าวและถึงลูกถึงคน
เก็บตกจากเนชั่น … รายการคุยข่าวตอนเช้า ที่จัดกับกนก
และ คม-ชัด-ลึก … รายการทอล์กหนัก ๆ จัดตอนดึก ๆ
ซึ่งสร้างฐานผู้ชมได้พอสมควร
เมื่อเนชั่นแชนแนลจะไม่ออกอากาศทางยูบีซีต่อ ก็มีผู้บริหารฟรีทีวีเห็นแววสรยุทธ์ และชักชวนไปทำรายการ จนเกิดมีปัญหากับทางต้นสังกัดอย่างเนชั่น
จุดพลิกผันคือตอนที่ตัดสินใจลาขาดจากเนชั่น มาอยู่ “ฟรีทีวี”
ช่อง 3 ได้ชวนเขามาทำรายการคุยข่าวสบาย ๆ ตอนเช้า อย่าง “เรื่องเล่าเช้านี้” ได้ทดลองจัดรายการเกมโชว์ “กล่องวิเศษ” และรายการทอลก์สบาย ๆ “จับเข่าคุย” ก็ไม่เกิด จึงเหลือไว้เพียงรายการแรก
“ยุทธ์ นายต้องจัด tough talk”
อดีตผอ.มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ แห่งโมเดิร์นไนนท์ กล่าวกับเขา และเป็นที่มาของถึงลูกถึงคนทางช่อง 9
ก่อนจะเพิ่มคุยคุ้ยข่าวเข้าไปอีกในเวลาต่อมา
ซึ่งยิ่งทำให้ชื่อสรยุทธ (บวกกนกด้วย) ดังทะยานขึ้นไปอีก
ทำให้นอกจากการเป็นผู้ดำเนินรายการ สรยุทธ ยังดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด (ผลิตรายการโทรทัศน์) และ บริษัท ชัดถ้อยชัดคำ จำกัด (รับจัดงานและกิจกรรม) ด้วย
ความดังของเขาไม่ธรรมดาจริง ๆ
ออกหนังสือเล่มแรก “กรรมกรข่าว” ก็ขายได้เป็นแสน ๆ เล่ม มีเวปไซต์ของตัวเอง (www.sorayut.net) รวมทั้งที่แฟน ๆ ทำให้ (www.sorayutfanclub.com)
หรือกระทั่งรายการ “แฟนพันธุ์แท้” สรยุทธด้วย
อย่างไรก็ตาม ชีวิตมีขึ้นย่อมมีลง
ราวเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ.อสมท ตรวจพบว่า บริษัท ไร่ส้มฯ ของนายสรยุทธ ค้างรายได้จากการโฆษณา เป็นเงินเกือบ 100 ล้านบาท
ทำให้ความรู้สึกของมวลชนที่มีต่อสรยุทธหม่นหมองไป
มีสื่อฉบับหนึ่งไปสัมภาษณ์สรยุทธ์ว่า การที่เขาเป็นพิธีกรชื่อดังและทำงานอยู่ในวงการสื่อโดยตรงแต่กลับมีข่าวในแง่ลบออกมาอยู่บ่อยๆ ในช่วงนี้ เขาคิดว่าข่าวมีผลกระทบต่อภาพพจน์ของตนเองหรือไม่
เจ้าตัวอึ้งไปเล็กน้อย และไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าวโดยขอตัวทันที ได้กล่าวแต่เพียงว่า
…”สวัสดีปีใหม่นะทุกคน”…
บทวิเคราะห์
ชื่อสรยุทธ ถือว่าเป็นแบรนด์ไปแล้ว นับตั้งแต่มาจัดรายการถึงลูกถึงคนและคุยคุ้ยข่าวให้โมเดอร์นไนน์
สรยุทธก้าวสู่จุดสูงสุดของวิชาชีพเร็วเกินไป เพียงชั่วระยะไม่กี่ปีหลังจากตัดสินใจทิ้งเนชั่น รังเก่ามาอยู่ช่อง 3 และช่อง 9 รวมไปถึงการเป็นผู้ประกอบการ ด้วยการตั้งบริษัทไร่ส้ม ทำรายการคุยคุ้ยข่าว 7 วันในช่วงเวลาไพร์ไทม์และได้เงื่อนไขที่ดีที่สุดจากอสมท.
ชั่วพริบตาเดียวสรยุทธ์เปลี่ยนสถานะจากนักข่าวที่เป็นลูกจ้างประจำเนชั่น กลายเป็น “เสี่ยสรยุทธ” ที่มีรายได้หลายสิบล้านบาทต่อเดือน
สาเหตุที่เขาเติบโตอย่างรวดเร็วก็เพราะได้โอกาสจากสุทธิชัย หยุ่น ให้มีพื้นที่ในการออกจอทีวี ในช่วงวิเคราะห์ข่าวทางไอทีวี ช่วงไพร์มไทม์
แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น ทว่าด้วยบุคลิกดุดันและการวิเคราะห์ที่คม ทำให้สรยุทธ์สามารถสร้างตัวเองได้ระดับหนึ่ง จนกระทั่งเป็นจุดขายของเนชั่น
เมื่อเนชั่นต้องระเห็จจากไอทีวีไปอยู่ยูบีซี 8 นั้น เขาก็ไปทำรายการคม ชัด ลึก กระทั่งมีแฟนประจำกลุ่มใหญ่
เรื่องเล่าเช้านี้ ทำให้สรยุทธแจ้งเกิดได้ทางฟรีทีวี และได้สร้างรูปแบบการเล่าข่าวทางฟรีทีวี จนเกร่อ
สรยุทธได้ขยายตัวเองจากตลาดเฉพาะไปสู่ตลาดมวลชน จากข่าวการเมืองไปสู่ข่าวชาวบ้านร้านตลาด
การไม่พาร์ทเนอร์ที่เหมาะสมทำให้สรยุทธไม่เปรี้ยงปร้างเท่าที่ควรจะเป็น
เมื่อมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ผอ.อสมท.ในเวลานั้นเห็นแวว จึงเสนอให้เขาทำรายการประเภท Tough Talk ซึ่งมิ่งขวัญเห็นว่าเหมาะกับบุคลิกของเขามากกว่า “เรื่องเล่าเช้านี้”
ถึงลูกถึงคน ทำให้ Positioning ของสรยุทธชัดเจนยิ่งขึ้น เรตติ้งพุ่งกระฉูด
และเขากลายเป็น “เสี่ย” ทันทีเขาได้เวลาไพร์มไทม์ 7 วันจากอสมท. ทำรายการประเภทแบ่งรายได้ จากการจัด “คุยคุ้ยข่าว” ที่ได้พาร์ทเนอร์เก่า กนก รัตน์วงศ์สกุล ความไม่ลงตัวในช่วงเช้า ทำให้เขา “ลงตัว” ในคุยคุ้ยข่าว
การขึ้นถึงจุดสูงสุดอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ก็ย่อมอิ่มตัวเร็วเป็นของธรรมดา ตามวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไร้ผู้อุปถัมภ์เสียแล้ว ก็ยากที่จะรักษาเวลาทองนั้นเอาไว้ได้
จุดอ่อนอย่างมากก็คือการค้างเงินอสมท. ซึ่งบริษัทก็อาจจะค้าง แต่ก็ไม่เป็นประเด็นใหญ่โตที่ผู้คนให้ความสนใจมากเท่านี้
แม้จะหาเงินมาชำระแล้วก็ตาม แต่อสมท.ก็ยังดำเนินเรื่องต่อไปโดยมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ในเรื่องการบริหารงานในงานกิจการทั่วไป และการบริหารงานในเชิงธุรกิจของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยมี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธาน โดยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
1.สอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีต่างๆ เกี่ยวกับการทุจริต หรือการบริหารงานบกพร่องกรณีรายการ “คุยคุ้ยข่าว” รวมทั้งกรณีธุรกิจอื่นๆ ตลอดจนการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ผู้ถือหุ้น พนักงานหรือรัฐ 2.เรียกเอกสาร พยานหลักฐานและบุคคลใดๆ มาให้ข้อมูล หรือกระทำการอื่นที่จำเป็นเพื่อให้การสอบสวนบรรลุผลโดยเร็ว
3.สอบสวนสาเหตุที่เกิดปัญหา พร้อมทั้งเสนอแนะมาตรการเร่งด่วนเฉพาะหน้าและมาตรการระยะยาว เพื่อแก้ไขและป้องกันมิให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต 4.เสนอมาตรการในการดำเนินการทางวินัยทางแพ่งและทางอาญา กับพนักงานและบุคคลภายนอก เพื่อให้บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) พิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนั้นแม้สรยุทธจะมีรายการอยู่ที่ช่อง 3 ก็ตาม ทว่าตราบใดที่ผลการสอบสวนยังไม่ออกมา ผู้คนก็ยังคลางแคลงใจในตัวสรยุทธ
ถ้าผลสอบออกมาเป็นผลบวกก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นผลลบ(ซึ่งผลการสอบนั้น พล.อ.ประทิน กล่าว “มีการทุจริตอย่างแน่นอน เพราะมีการโฆษณาเกินกว่าเวลาที่ทำไว้ในสัญญา โดยการสอบสวนนี้ได้สอบพยานเอกสาร สอบเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนในการร่วมมือในการทุจริต ซึ่งผู้เกี่ยวข้องก็รู้อยู่ว่า เป็นการทุจริต แต่ก็ยังร่วมกันกระทำความผิด” ก็ย่อมกระทบต่อภาพลักษณ์การเป็นสื่อมวลชนทีวีของเขา ซึ่งภาพลักษณ์มีส่วนสำคัญมากๆ
อนึ่ง การกลับไปจัดรายการที่ช่อง 3 อย่างดีก็เท่ากับเป็นการประคองตัวเท่านั้น เพราะรูปแบบรายการ คู่หู และช่วงเวลาย่อมสู้ช่อง 9 ไม่ได้ อีกทั้งช่อง Positioning คือบันเทิง ข่าวย่อมไม่อยู่ในใจคนดู แม้จะมีเรตติ้งสูงในช่วงเช้าก็ตาม เพราะช่อง 3 พยายามทำให้ข่าวเป็นบันเทิงมากเกินไปซึ่งขัดกับบุคลิกของสรยุทธ์ที่ถึงลูกถึงคน
คนที่จะรับผลดีไปนั้นคือหม่อมปลื้ม คู่หูคนใหม่ทางช่อง 3
เพราะหม่อมปลื้มอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” (ถ้ารู้จักแยกแยะความเป็นพิธีกรและลูกรมว.คลัง)
ส่วนสรยุทธต้องรู้จักประคองตัวให้ดี
หาโอกาสทำประโยชน์เพื่อสังคมให้บ่อยและมากกว่าที่ผ่านๆมา