เรียนรู้จากสามก๊ก ตอน (1) การสร้างตัวของเล่าปี่

สามก๊กฉบับภาษาังกฤษ ว่ากันว่าใครอ่าน “สามก๊ก” สามจบ คบไม่ได้

ประโยคนี้แสดงว่าสามก๊กนั้นเป็นหนังสือที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม คนที่อ่านมากถึงสามครั้ง ย่อมซึมซับเพทุบายต่างๆไปโดยไม่รู้ตัว

เพราะตัวละครสำคัญในสามก๊กนั้นมากเล่ห์เพทุบาย

อ่านมากๆเข้าก็อาจจะคิดแบบโจโฉเข้าสักวัน

พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา

อันนี้ก็เป็นประโยคที่ติดปากเหมือนกัน

ผมเคยถามผู้บริหารหลายคนว่าชอบตัวละครใดในสามก๊กมากที่สุด

จำได้ว่าคุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมิศักดิ์ ตอบว่า “เล่าปี่”

นอกจากนั้นแล้ว ผมก็ยังมองนักธุรกิจระดับ tycoon ด้วยว่าเขาเป็นตัวละครใดในสามก๊ก

กล่าวสำหรับคุณก่อศักดิ์นั้น เมื่อละครที่เขาชอบมากที่สุดคือเล่าปี่ ซึ่งเป็นพระเอกในสามก๊ก ก็เป็นไปได้ว่าเขามองว่าธนินท์ เจียรวนนท์ นายใหญ่ของเขานั้นคือเล่าปี่

ส่วนตัวเขาอาจจะเปรียบเทียบได้กับอะไร ก่อศักดิ์ไม่ยอม แต่ถ้าจะให้เดาอาจเป็น “ขงเบ้ง”

วันนี้จะเขียนถึงภูมิปัญญาจากสามก๊ก โดยจะหยิบตัวละครทีละตัวจากพงศาวดารจีนเรื่องนี้มาเขียนถึงเชื่อมโยงเข้ากับกลยุทธ์และการจัดการสมัยใหม่ โดยกล่าวถึงตัวละครเล่าปี่

อาจจะมีคนเขียนถึงเล่าปี่มามาก

หลายคนถึงกับ “ดูเบา” เพราะในบรรดาเจ้าก๊กทั้งสามนั้น เล่าปี่อาจดูด้อย เมื่อเปรียบเทียบกับโจโฉ และไม่เด่นอะไรมากเมื่อเปรียบเทียบกับซุนกวน แต่ผมกลับมองอีกมุม

ถามว่าเล่าปี่คือตัวละครที่ผมชอบมากที่สุดใช่ไหม

ตอบได้ทันทีเลยว่าไม่ใช่

ตัวละครที่ผมโปรดปรานมากที่สุดคือขงเบ้ง

ส่วนตัวละครที่ผมพยายามศึกษานิสัยใจคอมากที่สุดคือ โจโฉ เพราะโจโฉเป็นตัวละครที่สามารถพบเห็นได้ในชีวิตจริงๆ เป็นตัวละครที่คุณผู้อ่านอาจจะพบเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอยู่แล้วก็เป็นได้ ทว่าอาจจะไม่ได้เห็นชัดเจนว่าเป็นโจโฉ เพราะโจโฉเป็นตัวโกง คงไม่มีใครสรรเสริญเยินยอตัวโกงเป็นแน่

จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่ไม่มีใครแสดงว่าตัวเองเป็นโจโฉ

แต่ถ้าให้คุณหญิงหมอพรทิพย์ตรวจดีเอ็นเอ จะพบว่าเป็นโจโฉ

กลับมาที่เล่าปี่

เล่าปี่เป็นคนที่สร้างตัวเองคนที่ไม่มีอะไรเลย

ฝรั่งจะเรียกว่า Create Something out of Nothing

หรือที่เราเรียกจีนโพ้นทะเลที่สร้างธุรกิจยิ่งใหญ่ว่ามีแค่เสื่อผืนหมอนใบเท่านั้น

คนที่สร้างตัวจากมือเปล่าจนกลายเป็นหนึ่งในสามฮ่องเต้นั้น ไม่เก่งก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว

ที่สำคัญก็คือเล่าปี่ไม่ใช่คนที่ฉลาดปราดเปรื่อง ไม่ว่าจะเชิงบุ๋นหรือเชิงบู๊

รบก็รบไม่เก่ง

วางแผนก็ไม่ใช่จุดแข็ง

เช่นนั้นแล้ว เล่าปี่ขึ้นเป็นใหญ่ได้อย่างไร

สิ่งที่เล่าปี่มีก็คือ “ภาพลักษณ์ที่ดี” และความเป็นเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ฮั่น ที่แม้จะห่างจากพระเจ้าเหี้ยนเต้เหลือเกิน แต่เล่าปี่ก็รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ได้

ทว่าไม่ใช่อยู่ดีๆจะไปประกาศว่าตนเป็นเชื้อพระวงศ์ ถ้าไม่มีคนยอมรับล่ะ ไม่หน้าม้านรึ

คนเรานั้นหากจะคิดทำการใหญ่ได้ต้อง “สะสมคนเก่ง”

การที่เล่าปี่ซึ่งเป็นลูกคนทอเสื่อขาย เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับกวนอู เตียวหุย โดยที่มีปณิธานตรงกัน ถือว่าเป็นการมองคนขาด เพราะในเวลานั้นทั้งกวนอู เตียวหุย ก็ยังไม่ได้สร้างวีรกรรมลือลั่นแต่อย่างใด

เล่าปี่คงมีลักษณะดึงดูดบางประการ ถึงทำให้จูล่ง มาเป็นทหารเอกคู่ใจ

จุดเด่นของเล่าปี่ก็คือเป็นคนมีภาพลักษณ์

เล่าปี่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ความเป็นคนโอบอ้อมอารี มีเมตตา และเป็นเชื้อพระวงศ์(แม้จะปลายแถวก็ตามที) ได้กลายเป็น Positioning ที่แข็งแกร่ง ที่ยากจะหาใครเทียมทานในช่วงเวลานั้น

แม้เล่าปี่จะมีเชื้อพระวงศ์ แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ว เขาคือลูกชาวบ้าน ที่เรียนหนังสือไม่เก่ง แต่คิดการใหญ่

ทว่าเล่าปี่สามารถแปลงจุดอ่อนให้เป็นจุดแข็งได้

การที่เขามาจากลูกชาวบ้านนั้น ทำให้เขารู้ว่าชาวบ้านต้องการผู้ปกครองแบบไหน เขาจะเป็นผู้ปกครองในฝันของชาวบ้าน

Positioning เช่นนี้ได้ขจรขจายไปแบบปากต่อปาก ไม่เพียงชาวบ้านจะรัก บรรดาผู้มีฝีมือต่างเข้าด้วยกับเล่าปี่ไม่น้อย

และเป็นเหตุให้ได้ขงเบ้งมาเป็นกุนซือในเวลาต่อมา

ความที่เล่าปี่เรียนไม่เก่ง ทำให้เขาอ่อนน้อมถ่อมตนเข้าหาปราชญ์

การไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ ทำให้เขาเป็นคนเก็บความรู้สึก ไม่แสดงออกทางใบหน้า

อย่างไรก็ตาม โจโฉกลับหวาดเกรงเล่าปี่มากที่สุด

เพราะมองว่าคนอย่างเล่าปี่นั้นคิดการใหญ่ สะสมคนดีมีฝีมือ

อาจจะเป็นภัยต่อตนในภายภาคหน้าได้

Published in: on March 16, 2007 at 8:27 am  Comments (9)  

เคล็ดสำเร็จในปี 2007 จาก ทองมา เจ้าของพฤกษา

ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ – ซีอีโอ พฤกษา เรียลเอสเตท

ทำให้ดี ชนะใจลูกค้า และเหนือคู่แข่ง ด้วยการบริหารจัดการต้นทุน

ต้องทำให้ดี ชนะใจลูกค้า และเหนือคู่แข่ง

นั่นคือเป้าที่อยู่ในใจผม

ส่วนกุญแจที่จะไขปีสู่ความสำเร็จนั้นอยู่ที่ “การบริหารการจัดการ” และการนำ “เทคโนโลยี” เข้ามาใช้
เราต้องมองความต้องการลูกค้าได้ตรงจุด ต้อง integrate เข้าด้วยกันทั้งในเรื่องของการทำตลาด การจัดการ และเทคโนโลยีการก่อสร้างที่จะให้ได้บ้านดีมีคุณภาพ ต้นทุนต่ำสำหรับลูกค้า

ธุรกิจทาวน์เฮาส์ของเรา ต้องอาศัยปริมาณในการขาย คือทำโครงการต้องไม่น้อยกว่า 1,000 หลัง และต้องก่อสร้างให้เร็ว

ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือมักขาดแคลนแรงงานฝีมือในการก่อสร้าง ดังนั้นจึงต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาแรงงานฝีมือขาดแคลนในระยะยาว
“ระบบสำเร็จรูป” จึงเป็นคำตอบของทุกสิ่ง

ผมมองว่าเทคโนโลยีที่บ้านเรายังทำกันอยู่ เขาทำกันมา 50-60 ปีที่แล้ว มันล้าสมัยไป พอเรามาทำบ้านจัดสรรเมื่อ 12 ปีที่แล้ว เห็นเลยว่าเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยทำให้ได้งานคุณภาพดีขึ้น ใช้แรงงานน้อยและต้นทุนถูกลง
จึงนำเทคโนโลยี Pre-Cast มาใช้

ซึ่งแม้การลงทุน ในขั้นต้นจะสูง แต่ในระยะยาวก็จะมีความคุ้มค่า เมื่อวัดจากปริมาณงานและความรวดเร็ว ในการก่อสร้างจากเดิม ที่บ้านเดี่ยวต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 2.5-3 เดือน ลดลงมาเหลือ 1เดือนครึ่ง นอกจากนั้นยังสามารถ ควบคุมคุณภาพงานได้ทุกขั้นตอน

ในด้านไอที ผมคิดว่าต้องลงทุนอย่างจริงจัง เราดึงบริษัท ไอบีเอ็ม เข้ามาช่วยจัดวางระบบบริหารต้นทุน ภายใต้โครงการ Business Process Improvement and Workforce Management ด้วยงบลงทุนสูงถึง 12.75 ล้านบาท ก็เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในอนาคต

นอกจากนั้น ระบบนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขาย โดยจะลดปริมาณคนได้ระดับหนึ่ง และนำพนักงานกลุ่มนี้ ไปทำหน้าที่ในโครงการที่ขยายตัวในอนาคต

เรื่องความต้องการของลูกค้า เราต้องศึกษาอย่างเป็นระบบ

เมื่อก่อนที่เราไม่ได้ศึกษาจริงจังว่าความต้องการของลูกค้าคืออะไรแน่

ตอนนี้เราต้องศึกษามากขึ้น

ตอนนั้นเราอาจจะตามใจตัวเราเองมากกว่า ปัจจุบันตลาดมันเล็กลง แต่ละคนเลยต้องเข้าถึงความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด

เวลาทำธุรกิจ ผมไม่สนใจเลยว่าทำธุรกิจแล้วต้องทำออกมาให้ใหญ่
ไม่เคยดูเงินในกระเป๋าตัวเอง

เพียงอยากให้ธุรกิจตัวเองมีส่วนในการขับเคลื่อนในภาคอุตสาหกรรม และให้ธุรกิจมีความต่อเนื่อง ก้าวไปในภาคสังคม เดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง

Published in: on February 15, 2007 at 6:08 am  Comments (29)  

คำแนะนำของ Donald Trump ต่อความสำเร็จในปี 2007

Donald Trump – ประธานกรรมการ Trump Organization
หมกมุ่นกับคำตอบ … ไม่ใช่ปัญหา

ความสำเร็จ ย่อมบ่มเพาะความสำเร็จต่อ

มันจะทำให้คุณสูงขึ้น และดึงดูดความสำเร็จเข้ามาเหมือนแม่เหล็ก

ผมเป็นคนคิดเชิงบวก ซึ่งพยายามตรวจสอบโลกแห่งความจริงเสมอ ๆ

… ลบสามารถกลายเป็นบวก

… ปัญหานั้นแก้ได้

… ย่ำแย่ก็พลิกเป็นยอดเยี่ยมได้

ภาพความสำเร็จที่เราอยากให้เกิดขึ้นนั้นสำคัญ ทว่าความสามารถในการเน้นไปที่คำตอบ แทนที่จะเป็นปัญหานั้นสำคัญกว่าอีก

ถ้าคุณคิดเช่นนั้นได้ คุณจะไม่มีทางคิดเหมือนผู้แพ้

และก็จะไม่ดูเหมือนผู้แพ้ด้วย

Published in: on February 5, 2007 at 6:47 pm  Comments (28)  

ขาลงสรยุทธ

ขาลงสรยุทธ

“ไม่มีปัญหาอะไร ก็ว่าไปตามกระบวนการเท่านั้นเอง ผมตัดสินใจเองที่จะเดินไปลาผู้ใหญ่เพราะสังคมไทยไปลามาไหว้และก็ไม่มีอะไรในทางส่วนตัวกันเลย เป็นการจากกันด้วยดีแล้วก็ไปอำลาไปขอบคุณ แล้วผมก็ยังรักอสมท. วันหนึ่งเมื่อมีโอกาสแต่วันนี้อยากจะหยุดพักผู้ใหญ่ก็เข้าใจ”

สรยุทธ สุทัศนะจินดา ให้สัมภาษณ์ช่วงปลายปี 49 ภายหลังตัดสินใจไม่ขอจัดรายการถึงลูกถึงคน และคุยคุ้ยข่าวต่อที่สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ช่อง 9

หลังการรัฐประหารในเดือน ก.ย.49 และอสมท.ได้มีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารและบอร์ด มีการพูดคุยกันอย่างกว้างขวางว่ารายการของสรยุทธ์น่าจะถูกปรับ

อย่างน้อยที่สุดคือลดเวลาการออกอากาศลงมา

มากที่สุดคือถูกปรับผังออกไปเลย

เขาตัดสินใจเลิกจัด แล้วไปเพิ่มการจัดรายการ “เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์” ที่ทางช่อง 3 ท่ามกลางกระแสข่าวว่าช่อง 3 พยายามดึงตัว

“คือผมอยู่ช่อง 3 อยู่แล้วนะ ไม่ได้เป็นการดึงเลยนะ เรื่องเล่าเช้านี้จริงๆ ผมทำก่อนถึงลูกถึงคนที่ช่อง 9 ด้วยซ้ำ ทำก่อน 1 วันแล้วที่ออกมาจากที่ทำงานเก่าเมื่อคราวนู้นเมื่อเกือบ 4 ปีก่อนก็ออกมาช่อง 3 นะ เพียงแต่ว่าออกมาช่อง 3 ปุ๊บสักพักก็อยากจะหาเวทีที่มันเป็นทอล์กหนักๆ ก็เลยไปช่อง 9″

ส่วน กนก รัตวงศ์สกุล คู่หูคุยข่าวของเขา ก็แยกไปตามเส้นทางของตัวเอง และดูท่าจะงานชุกชุมขึ้นจากฐานชื่อเสียงที่ตัวเองมีอยู่ และการได้เวลาจัดรายการโทรทัศน์ทางฟรีทีวีที่มากขึ้นของเนชั่น

มาทบทวนเส้นทางอาชีพของสรยุทธ์กันดูซะหน่อยดีกว่า

สรยุทธ สุทัศนะจินดา นั้นจบการศึกษา นิเทศศาสตรบัณฑิต (วารสารศาสตร์) มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (เกียรตินิยมอันดับที่หนึ่ง) เริ่มทำงานเป็นนักข่าว สังกัดหนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น ในปี 2531 เงินเดือนขณะนั้น คือ 4,000 บาท โดยทำข่าวสายรัฐสภาเป็นเวลาสองปี และทำข่าวสายทำเนียบรัฐบาล อีกสองปี ต่อมาในปี 2535 ได้ประจำในกองบรรณาธิการ ในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าข่าวการเมือง และในปี 2537 ได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นหัวหน้าข่าวการเมือง ในปี 2540 ได้มาเป็นบรรณาธิการข่าว

จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการได้วิเคราะห์ข่าวในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ที่ช่องไอทีวี (ซึ่งขณะนั้นกลุ่มเนชั่นรับผิดชอบการผลิตข่าว) ตรงนั้นทำให้ผู้เรือนล้านได้รู้จักเขาเป็นครั้งแรก พร้อมทั้งสามารถซึมซับบุคลิกภาพและลีลาการจัดอันเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากคนข่าวหน้าจอโทรทัศน์คนอื่น ๆ ได้

เมื่อเนชั่นตั้งสถานีข่าว 24 ชม.ของตัวเอง (ช่วงแรกออกอากาศผ่านทางยูบีซี) สรยุทธ์ก็ได้จัดรายการ 2 รายสำคัญ ซึ่งเป็นรากฐานของรายการสำคัญอย่างคุยคุ้ยข่าวและถึงลูกถึงคน

เก็บตกจากเนชั่น … รายการคุยข่าวตอนเช้า ที่จัดกับกนก

และ คม-ชัด-ลึก … รายการทอล์กหนัก ๆ จัดตอนดึก ๆ

ซึ่งสร้างฐานผู้ชมได้พอสมควร

เมื่อเนชั่นแชนแนลจะไม่ออกอากาศทางยูบีซีต่อ ก็มีผู้บริหารฟรีทีวีเห็นแววสรยุทธ์ และชักชวนไปทำรายการ จนเกิดมีปัญหากับทางต้นสังกัดอย่างเนชั่น

จุดพลิกผันคือตอนที่ตัดสินใจลาขาดจากเนชั่น มาอยู่ “ฟรีทีวี”

ช่อง 3 ได้ชวนเขามาทำรายการคุยข่าวสบาย ๆ ตอนเช้า อย่าง “เรื่องเล่าเช้านี้” ได้ทดลองจัดรายการเกมโชว์ “กล่องวิเศษ” และรายการทอลก์สบาย ๆ “จับเข่าคุย” ก็ไม่เกิด จึงเหลือไว้เพียงรายการแรก

“ยุทธ์ นายต้องจัด tough talk”

อดีตผอ.มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ แห่งโมเดิร์นไนนท์ กล่าวกับเขา และเป็นที่มาของถึงลูกถึงคนทางช่อง 9

ก่อนจะเพิ่มคุยคุ้ยข่าวเข้าไปอีกในเวลาต่อมา

ซึ่งยิ่งทำให้ชื่อสรยุทธ (บวกกนกด้วย) ดังทะยานขึ้นไปอีก

ทำให้นอกจากการเป็นผู้ดำเนินรายการ สรยุทธ ยังดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด (ผลิตรายการโทรทัศน์) และ บริษัท ชัดถ้อยชัดคำ จำกัด (รับจัดงานและกิจกรรม) ด้วย

ความดังของเขาไม่ธรรมดาจริง ๆ

ออกหนังสือเล่มแรก “กรรมกรข่าว” ก็ขายได้เป็นแสน ๆ เล่ม มีเวปไซต์ของตัวเอง (www.sorayut.net) รวมทั้งที่แฟน ๆ ทำให้ (www.sorayutfanclub.com)

หรือกระทั่งรายการ “แฟนพันธุ์แท้” สรยุทธด้วย

อย่างไรก็ตาม ชีวิตมีขึ้นย่อมมีลง

ราวเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ.อสมท ตรวจพบว่า บริษัท ไร่ส้มฯ ของนายสรยุทธ ค้างรายได้จากการโฆษณา เป็นเงินเกือบ 100 ล้านบาท

ทำให้ความรู้สึกของมวลชนที่มีต่อสรยุทธหม่นหมองไป

มีสื่อฉบับหนึ่งไปสัมภาษณ์สรยุทธ์ว่า การที่เขาเป็นพิธีกรชื่อดังและทำงานอยู่ในวงการสื่อโดยตรงแต่กลับมีข่าวในแง่ลบออกมาอยู่บ่อยๆ ในช่วงนี้ เขาคิดว่าข่าวมีผลกระทบต่อภาพพจน์ของตนเองหรือไม่

เจ้าตัวอึ้งไปเล็กน้อย และไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าวโดยขอตัวทันที ได้กล่าวแต่เพียงว่า

…”สวัสดีปีใหม่นะทุกคน”…

บทวิเคราะห์

ชื่อสรยุทธ ถือว่าเป็นแบรนด์ไปแล้ว นับตั้งแต่มาจัดรายการถึงลูกถึงคนและคุยคุ้ยข่าวให้โมเดอร์นไนน์

สรยุทธก้าวสู่จุดสูงสุดของวิชาชีพเร็วเกินไป เพียงชั่วระยะไม่กี่ปีหลังจากตัดสินใจทิ้งเนชั่น รังเก่ามาอยู่ช่อง 3 และช่อง 9 รวมไปถึงการเป็นผู้ประกอบการ ด้วยการตั้งบริษัทไร่ส้ม ทำรายการคุยคุ้ยข่าว 7 วันในช่วงเวลาไพร์ไทม์และได้เงื่อนไขที่ดีที่สุดจากอสมท.

ชั่วพริบตาเดียวสรยุทธ์เปลี่ยนสถานะจากนักข่าวที่เป็นลูกจ้างประจำเนชั่น กลายเป็น “เสี่ยสรยุทธ” ที่มีรายได้หลายสิบล้านบาทต่อเดือน

สาเหตุที่เขาเติบโตอย่างรวดเร็วก็เพราะได้โอกาสจากสุทธิชัย หยุ่น ให้มีพื้นที่ในการออกจอทีวี ในช่วงวิเคราะห์ข่าวทางไอทีวี ช่วงไพร์มไทม์

แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น ทว่าด้วยบุคลิกดุดันและการวิเคราะห์ที่คม ทำให้สรยุทธ์สามารถสร้างตัวเองได้ระดับหนึ่ง จนกระทั่งเป็นจุดขายของเนชั่น

เมื่อเนชั่นต้องระเห็จจากไอทีวีไปอยู่ยูบีซี 8 นั้น เขาก็ไปทำรายการคม ชัด ลึก กระทั่งมีแฟนประจำกลุ่มใหญ่

เรื่องเล่าเช้านี้ ทำให้สรยุทธแจ้งเกิดได้ทางฟรีทีวี และได้สร้างรูปแบบการเล่าข่าวทางฟรีทีวี จนเกร่อ

สรยุทธได้ขยายตัวเองจากตลาดเฉพาะไปสู่ตลาดมวลชน จากข่าวการเมืองไปสู่ข่าวชาวบ้านร้านตลาด

การไม่พาร์ทเนอร์ที่เหมาะสมทำให้สรยุทธไม่เปรี้ยงปร้างเท่าที่ควรจะเป็น

เมื่อมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ผอ.อสมท.ในเวลานั้นเห็นแวว จึงเสนอให้เขาทำรายการประเภท Tough Talk ซึ่งมิ่งขวัญเห็นว่าเหมาะกับบุคลิกของเขามากกว่า “เรื่องเล่าเช้านี้”

ถึงลูกถึงคน ทำให้ Positioning ของสรยุทธชัดเจนยิ่งขึ้น เรตติ้งพุ่งกระฉูด

และเขากลายเป็น “เสี่ย” ทันทีเขาได้เวลาไพร์มไทม์ 7 วันจากอสมท. ทำรายการประเภทแบ่งรายได้ จากการจัด “คุยคุ้ยข่าว” ที่ได้พาร์ทเนอร์เก่า กนก รัตน์วงศ์สกุล ความไม่ลงตัวในช่วงเช้า ทำให้เขา “ลงตัว” ในคุยคุ้ยข่าว

การขึ้นถึงจุดสูงสุดอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ก็ย่อมอิ่มตัวเร็วเป็นของธรรมดา ตามวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไร้ผู้อุปถัมภ์เสียแล้ว ก็ยากที่จะรักษาเวลาทองนั้นเอาไว้ได้

จุดอ่อนอย่างมากก็คือการค้างเงินอสมท. ซึ่งบริษัทก็อาจจะค้าง แต่ก็ไม่เป็นประเด็นใหญ่โตที่ผู้คนให้ความสนใจมากเท่านี้

แม้จะหาเงินมาชำระแล้วก็ตาม แต่อสมท.ก็ยังดำเนินเรื่องต่อไปโดยมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ในเรื่องการบริหารงานในงานกิจการทั่วไป และการบริหารงานในเชิงธุรกิจของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยมี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธาน โดยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้

1.สอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีต่างๆ เกี่ยวกับการทุจริต หรือการบริหารงานบกพร่องกรณีรายการ “คุยคุ้ยข่าว” รวมทั้งกรณีธุรกิจอื่นๆ ตลอดจนการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ผู้ถือหุ้น พนักงานหรือรัฐ 2.เรียกเอกสาร พยานหลักฐานและบุคคลใดๆ มาให้ข้อมูล หรือกระทำการอื่นที่จำเป็นเพื่อให้การสอบสวนบรรลุผลโดยเร็ว

3.สอบสวนสาเหตุที่เกิดปัญหา พร้อมทั้งเสนอแนะมาตรการเร่งด่วนเฉพาะหน้าและมาตรการระยะยาว เพื่อแก้ไขและป้องกันมิให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต 4.เสนอมาตรการในการดำเนินการทางวินัยทางแพ่งและทางอาญา กับพนักงานและบุคคลภายนอก เพื่อให้บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) พิจารณาดำเนินการต่อไป

ดังนั้นแม้สรยุทธจะมีรายการอยู่ที่ช่อง 3 ก็ตาม ทว่าตราบใดที่ผลการสอบสวนยังไม่ออกมา ผู้คนก็ยังคลางแคลงใจในตัวสรยุทธ

ถ้าผลสอบออกมาเป็นผลบวกก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นผลลบ(ซึ่งผลการสอบนั้น พล.อ.ประทิน กล่าว “มีการทุจริตอย่างแน่นอน เพราะมีการโฆษณาเกินกว่าเวลาที่ทำไว้ในสัญญา โดยการสอบสวนนี้ได้สอบพยานเอกสาร สอบเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนในการร่วมมือในการทุจริต ซึ่งผู้เกี่ยวข้องก็รู้อยู่ว่า เป็นการทุจริต แต่ก็ยังร่วมกันกระทำความผิด” ก็ย่อมกระทบต่อภาพลักษณ์การเป็นสื่อมวลชนทีวีของเขา ซึ่งภาพลักษณ์มีส่วนสำคัญมากๆ

อนึ่ง การกลับไปจัดรายการที่ช่อง 3 อย่างดีก็เท่ากับเป็นการประคองตัวเท่านั้น เพราะรูปแบบรายการ คู่หู และช่วงเวลาย่อมสู้ช่อง 9 ไม่ได้ อีกทั้งช่อง Positioning คือบันเทิง ข่าวย่อมไม่อยู่ในใจคนดู แม้จะมีเรตติ้งสูงในช่วงเช้าก็ตาม เพราะช่อง 3 พยายามทำให้ข่าวเป็นบันเทิงมากเกินไปซึ่งขัดกับบุคลิกของสรยุทธ์ที่ถึงลูกถึงคน

คนที่จะรับผลดีไปนั้นคือหม่อมปลื้ม คู่หูคนใหม่ทางช่อง 3

เพราะหม่อมปลื้มอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” (ถ้ารู้จักแยกแยะความเป็นพิธีกรและลูกรมว.คลัง)

ส่วนสรยุทธต้องรู้จักประคองตัวให้ดี

หาโอกาสทำประโยชน์เพื่อสังคมให้บ่อยและมากกว่าที่ผ่านๆมา

Published in: on February 2, 2007 at 6:01 pm  Comments (28)  

Hello world!

Welcome to WordPress.com. This is your first post. Edit or delete it and start blogging!

Published in: on December 10, 2006 at 9:00 am  Comments (62)